พันครั้งที่หวั่นไหวกว่าจะเป็นผู้ใหญ่

by Kim Nan-do, 김난도, คิมรันโด

หนังสือ "พันครั้งที่หวั่นไหวกว่าจะเป็นผู้ใหญ่" เปรียบเสมือนเป็นคู่มือสร้างแรงบันดาลใจสำหรับคนที่ทดท้อใจในวัยทำงานที่เริ่มเดินออกจากมหาวิทยาลัย ท่ามกลางพลังวัยรุ่นที่ได้สิ้นสุดลง...ในที่สุดคนหนุ่มสาวผู้วาดฝันถึงอนาคตที่สดใสก็ก้าวเข้าสู่สนามแข่งขันที่ยากขึ้นมาอีกระดับ ด้วยการนำเสนอคุณสมบัติเฉพาะตนเพื่อสมัครงาน จนวันหนึ่งเพียงพริบตาเดียว เราก็กลายเป็นผู้ใหญ่ หาเงิน จ่ายภาษี แต่งงาน และมีลูก...เราต้องรับบทบาทผู้ใหญ่ทั้งที่ยังไม่พร้อม เวลาเตรียมพร้อมที่มีไม่มาก ทำให้ต้องเสแสร้งรับบทบาทเป็นผู้ใหญ่

โดยเล่มนี้จะพาไปขยี้ปมความรู้สึกเจ็บปวดของคนกลุ่มนี้ ที่ใช้ชีวิตท่ามกลางความสับสนและยุ่งเหยิง และพยายามฝังความเจ็บปวดให้ลึกที่สุดของหัวใจ รอเวลาผ่านไปจนกว่าบาดแผลจากความเจ็บปวดจะเริ่มตกสะเก็ดเอง จนกระทั่งไม่รู้สึกว่านั่นคือความเจ็บปวดอีกต่อไป เพราะหากพูดว่าเจ็บปวดก็เกรงจะถูกมองว่าเป็นเด็กอ่อนแอ จึงเลือกเก็บงำความรู้สึกและซ่อนความเจ็บปวดไว้เพียงลำพัง...จะดีไหมที่เราจะอ่านหนังสือเล่มนี้ เพื่อสลายปมความเจ็บปวดและลุกขึ้นสู้อีกครั้ง เพื่อการเป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริง

ทั้งนี้จะแบ่งเนื้อเรื่องออกเป็น 4 Part ใหญ่ๆ ดังนี้

- PART 1 : Amor fati จงรักในชะตาชีวิตของคุณ

- PART 2 : คนหนุ่มสาว จงก้าวไปสู่โลกภายนอก

- PART 3 : จงพบ จงรัก และจงใช้ชีวิต

- PART 4 : แด่คุณที่กำลังจะฟื้นคืนชีพ

Genres: Nonfiction, Self Help

257 pages, Paperback

First published August 16, 2012

About the author

Associated Names:
* 김난도 (Korean)
* Kim Nan-do (English)
* คิมรันโด (Thai)

Reviews

[MonoNoAware · Rating 4 out of 5]

เคยอ่าน “เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด” สมัยเรียนมหาลัยแล้วชอบมาก พอหนังสือเล่มนี้ออกมาจึงรีบซื้อไว้ แต่ก็ไม่ได้อ่านสักที ดองหนังสือเล่มนี้มา 6 ปี ตั้งแต่เพิ่งเรียนจบ เพิ่งหยิบมาอ่าน ด้วยวัยที่เลยพ้น เลยทำให้บางบทไม่อินเสียแล้ว แต่คุณคิมรันโดก็เขียนมาได้ดีมาก มันก็ทำให้เราได้ข้อคิดในบางเรื่อง

[Vannaporn Aeh · Rating 4 out of 5]

หนังสือเล่มนี้ทำให้เราถามตัวเองหลายๆ ครั้ง ว่าเราเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือยัง
แต่ละหัวข้อสามารถอธิบายความเป็นไปในชีวิตได้อย่างเห็นภาพ
บางทีก็ทำให้เรื่องร้ายๆ สามารถมองในมุมดีๆ ได้
แต่ก็มีบางเรื่องที่ไม่ค่อยเห็นด้วย อย่างเรื่องการแต่งงาน

[Dolliac Cullen · Rating 5 out of 5]

The book is simply superb! I didn't read his first book "Youth, it's painful" only because i feel the book may not address people in my age. Anyway, I read his second book which was translated into Thai and felt impressed and thankful for what Rando has beautifully stated. It's not just another words of wisdom from a life guru. Rando offers his advice and talk to you in a humble way and tackles each topic with deep understanding and humility. I must say that you have to live for a while, meaning you have to go through a certain kind of experiences that "wavered" your belief, your identity and your "self" in order to relate or truly understand what Rando is trying to say to you. and i am sure any human being must have gone through that kind of experiences in one way or another for Rando did not talk about the big question of the universe. He talked about every little thing that happens to you every day. I'd say his writing is inspirational, not in a big way that would prompt you to quit your salaryman job and become a Steve Jobs or something. It simply inspires you to go on and become a mature adult who fully understands what's going around you and how to take it 'in your hand', under control.

i'm not a big fan of the so-called self-help or self improvement book but I felt lucky to have read this book and I should go back to his first book too. So highly-recommended for anyone who wanna give it a try. Asian writers are amazing because we don't talk big about rocket-science psychology. Asian writers try to blend in with nature and simply go along and overcoming yourself is the biggest issue. that's how i feel.

[Diamond Dm · Rating 4 out of 5]

เป็นหนังสือที่ต้องหยิบขึ้นมาอ่านอยู่เรื่อยๆ เป็นเครื่องเตือนความจำในการใช้ชีวิตได้ดี แนะนำสำหรับคนที่กำลังค้นหาตัวเอง หรืออยากรู้ความหมายของการเป็นผู้ใหญ่ ,,จงอย่าท้อถอยกับงานที่ทำอยุ่ แต่จงสนุกกับมัน สนุกกับทุกช่วงเวลาของชีวิต,,

[Narabordee Pomkaew · Rating 5 out of 5]

หนังสือเล่มนี้บอกเล่าประสบการณ์ต่างๆที่ผู้เขียนได้พบเจอมา และตั้งคำถามถึงการ "เติบโตเป็นผู้ใหญ่" ว่าเมื่อไหร่ถึงเรียกว่าเราได้ไปถึงจุดนั้นแล้ว เนื้อหาในเล่มซึ่งทำให้ชวนคิดต่อ อาจทำให้ฉุกคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต หรืออาจทำให้คิดถึงสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดในอนาคตอันใกล้ การทำความเข้าใจเนื้อหาที่เขียนในเล่มอาจไม่ยากนัก แต่การจะรู้สึกเชื่อมโยงถึงเหตุการณ์ที่บอกเล่าในแต่ละเรื่อง ถ้าไม่เคยประสบเองคงยากที่จะเข้าใจ แม้อ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้วแต่หากในอนาคตได้หยิบขึ้นมาอ่านซ้ำคงให้ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป แม้อาจยังไม่สามารถทำความเข้าใจในบางเรื่อง แต่อนาคตที่กำลังจะได้เผชิญ คงทำให้ผมได้เข้าใจบางเรื่องในหนังสือเล่มนี้มากยิ่งขึ้น โดยรวมแล้วหนังสือเล่มนี้สนุกดีครับ

[Pk Dome · Rating 5 out of 5]

เป็นการเรียนรู้บทเรียนชีวิตจากในมุมมองที่คนส่วนใหญ่ต้องพบเจอ รับรู้ถึงความยากของการเป็นผู้ใหญ่ แต่เอาจริงๆทุกคนส่วนมากก็ไม่มีใครพร้อมที่จะเป็นผู้ใหญ่กันขนาดนั้น

ชอบในประโยคที่ว่า จงรักในชะตาชีวิตของคุณ เพราะทุกคนล้วนแต่ต้องเติบโตกันทั้งนั้น
ในทุกการเติบโตล้วนพบเจอทั้งสิ่งที่ทำให้มีความสุขและความทุกข์ ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องผ่านเรื่องเหล่านั้นไปให้ได้

ล้มได้แต่สุดท้ายเราจะลุกหรือไม่นั่นก็คือการตัดสินใจของเราว่าเราอยากจะจมอยู่กับความผิดหวัง ความล้มเหลว หรืออยากจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อแก้ไขความผิดพลาด ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความล้มเหลวแต่อยู่ที่ว่าเราได้เรียนรู้อะไรจากความล้มเหลวบ้าง

ล้มแล้วจงลุกขึ้นมาเพื่อก้าวต่อไป เพื่อที่จะไปพบเรื่องราวใหม่ๆ ไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่น่าสนใจหรือไปทำตามความฝันในวัยเด็กที่เราหลงลืมไป

เราไม่จำเป็นต้องสำเร็จหรือเร่งความเร็วกับทุกเรื่อง ช้านิดหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร

การเป็นผู้ใหญ่มันไม่ง่ายแต่ก็สุดท้ายทุกคนก็ต้องเป็นผู้ใหญ่ในสักวันอยู่ดีนั่นแหล่ะ

[Sophie Louise Piczenik · Rating 5 out of 5]

อ่านหนังสือของคุณคิมรันโดเป็นเล่มที่สามแล้วค่ะ แล้วก็คงตามอ่านหนังสือ self improvements ของเขาให้ครบ หนังสือself improvement ที่ดี ในคหสตของผู้อ่าน คือหนังสือที่ทำให้คิด ย้อนมองตัวเอง, reflect แล้วก็ relate ค่ะ ซึ่งทุกอย่างก็ spot on หมดเลย หลายๆอย่างที่ผู้เขียนเขียน เป็นสิ่งที่เรา Needed to hear บางอย่างเราเองรู้อยู่แล้ว แต่บางครั้งเราก็ต้องการใครสักคนมาพูดย้ำให้เราฟัง คุณคิมรันโดเรียบเรียงทุกอย่างออกมาได้ดีมากๆ คงเป็นหนังสือที่ในอนาคตอยากกลับมาอ่านอีกค่ะ มุมมองของฟีคงเปลี่ยนไปอีกพอถึงตอนนั้น ขอบคุณนะคะ

[Tuitui Liw · Rating 3 out of 5]

เป็นหนังสือเล่มที่สองของอาจารย์คิมรันโด ซึ่งเป็นคนเขียนหนังสือเล่ม เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด ที่โด่งดังขายดีกว่าสองล้านเล่มในเกาหลี และในไทยก็พิมพ์ไปเกิน 20 ครั้งแล้ว อาจารย์คิมรันโด เปรียบเสมือนบาทหลวงที่ช่วยเยียวยาจิตใจวัยรุ่น สมานแผล และคอยลูบหลัง ปลอบโยนให้ค่อยๆใจเย็นๆ และจงมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้


เล่มภาคต่อนี้ เป็นเรื่องราวที่ขยับมาจากวัยเรียนเป็นเข้าสู่วัยทำงานแล้ว เนื้อหาก็จะหนักขึ้น โตขึ้นกว่าเล่มแรก และพูดถึงประเด็นรอบตัว ทั้งเรื่องงาน เรื่องความสัมพันธ์ การใช้ชีวิต เพื่อให้ก้าวข้ามผ่านจากเด็กน้อยสู่ผู้ใหญ่ได้อย่างสง่างาม


อาจารย์คิมรันโดตอนเขียนหนังสือเล่มนี้ก็อายุ 40 กว่าแล้ว ยังไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่หรือยัง เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ต้องแปลกใจถ้าวันไหนจะทำอะไรไม่เข้าท่าไปบ้าง หรือสับสนในตัวเองไปบ้าง


สิ่งที่ชอบมากจากหนังสือเล่มนี้คือ การที่บอกว่า ให้รักในชะตาชีวิตของเราเอง (Amor Fati) ถ้าเราไม่รักในชีวิตของเราแล้ว ก็จะไม่มีแรงกายแรงใจฝ่าฟันอุปสรรคใดๆที่เข้ามาได้


ตัวอย่างที่เล่ามาประกอบเรื่องนี้เป็นเรื่องของเด็กชายวัยเรียนคนหนึ่งที่ชีวิตเจอแต่เรื่องแย่ๆ จนเหมือนจะหมดหนทางที่จะมีความสุข ทั้งแม่ที่กำลังป่วยด้วยโรคมะ��ร็ง พ่อที่หาเรื่องทะเลาะกับแม่ไม้เว้นวันเพราะกลายเป็นบุคคลล้มละลายเนื่องจากต้องเอาเงินเก็บไปรักษาแม่ พี่ชายที่เปลี่ยนไปติดเหล้า ยืมเงินและเป็นหนี้คนอื่นไปทั่ว


ตัวเด็กคนนี้เองจึงต้องทำงานที่ใช้แรงงานหนัก เพื่อใช้หนี้แทนพี่ และเพื่อประทังชีวิตครอบครัว ทำให้เป็นโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อน แต่เค้าก็บอกว่า ก็จะอดทนสู้ เพื่อให้ครอบครัวกลับมารักกันเหมือนเดิม


อาจารย์คิมรันโดฟังเรื่องนี้แล้วน้ำตาจะไหล จุกอกอย่างบอกไม่ถูกว่าคนคนหนึ่งทำไมถึงเจอเรื่องทุกข์ใจได้มากมายขนาดนี้ และคำปลอบใจ คำสอนเดียวที่อาจารย์คิมรันโดมีให้ คือให้รักในชะตาชีวิตของตัวเอง Amor Fati เด็กคนนั้นก็รับฟังแบบ งงๆ ว่า มีแค่นี้เองเหรอ คำแนะนำจากอาจารย์ผู้เป็นที่ปรึกษาให้วัยรุ่นชื่อดัง


วันเวลาผ่านไป เด็กคนนั้นแจ้งข่าวกลับมาว่า ตอนแรกไม่เข้าใจในคำสอนของอาจารย์ และโกรธมาก รู้สึกว่าอาจารย์ไม่ใส่ใจปัญหาเค้าจริงๆ เหมือนพูดแค่ให้กำลังใจแบบผ่านๆไปงั้นๆ จนเค้ารู้สึกอยากตายขึ้นมา เพราะไม่ว่าใครก็ช่วยให้เค้ารู้สึกดีขึ้นไม่ได้เลย


แต่ก็ไม่มีเวลาให้นั่งคร่ำครวญ และคิดว่าตายไม่ได้ เพราะแม่จะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีเค้า
หลายเดือนผ่านไป เด็กคนนั้นเลือกที่จะตั้งหน้าตั้งตาทำงานและดูแลแม่ให้ดีที่สุด โดยไม่คิดถึงเรื่องทุกข์อื่นๆ ทำแบบนี้ไปสักพัก สุขภาพเขาก็ดีขึ้นมาก เพราะไม่มีความเครียด ความหดหู่ ความไม่รักตัวเองเหมือนกับก่อนหน้านี้

การที่เค้ามุ่งแต่จะทำสิ่งดีๆ โดยไม่มัวแต่โทษโชคชะตา ทำให้คนรอบข้างปลอบโยน ให้กำลังใจ เค้าขอบคุณที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ และยังมีอนาคตให้ฝันถึง


ในที่สุดเด็กคนนี้ก็ตกตะกอนและคิดได้ว่า ที่อาจารย์คิมรันโดบอกว่าให้รักในชะตาชีวิตตัวเอง คือการยอมรับและเรียนรู้ชีวิตแบบค่อยเป็นค่อยไป


คุณค่าที่แท้จริงของตัวเรา ก็ควรเติมเต็มด้วยตัวเราเอง ต้องยอมรับเกียรติของตัวเองก่อนจึงจะเกิดความนับถือตัวเองได้ นี่คือสิ่งที่เด็กคนนั้นนึกขอบคุณอาจารย์ที่ให้บทเรียนเรียบง่ายแต่ยากในการเข้าถึงให้เขา


อาจารย์คิมรันโด รู้ดีว่า เมล็ดพันธุ์ของเด็กคนนั้นกำลังเติบโตภายใต้ความทุกข์ ทางแก้คือ จงทำให้เมล็ดพันธุ์แห่งความหวังนั้นงอกเงยออกมา ถ้าแม้แต่ตัวเราเองไม่รักชีวิตตัวเอง หมดหวัง แล้วจะมีชีวิตที่ดีต่อไปได้อย่างไร


เวลาเสียใจมาก วันเดียวก็ต้องอยู่ให้ได้ เวลาป่วยหนัก ชั่วอึดใจเดียวก็ต้องอยู่ให้ได้เวลาสิ้นหวังจนมองไม่เห็นทางออก ถ้าผ่านวันนั้นมาได้ ก็จะผ่านพ้นวันต่อไปได้
และในที่สุดก็จะพาตัวเองให้มาถึงวันที่สามารถเล่าเรื่องราวเหล่านั้นได้โดยไม่รู้สึกอะไรได้อย่างน่าแปลกใจ

[Pohn Yuna · Rating 5 out of 5]

อ่านแล้วช่วยให้เข้าใจชีวิตได้ดีขึ้นจริงๆ ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่ปฎิบัติตามได้จริงๆ

[Thanat Thongpanee · Rating 3 out of 5]

เหมือนหนังสือรวมคำคม+นั่งฟังผู้ใหญ่บ่นๆประสบการณ์ชีวิตตัวเอง

[Merlin Singprai · Rating 5 out of 5]

เป็นหนังสือที่หยิบมาอ่านหลายครั้ง และจะกลับมาถามตัวเองเสมอว่า “เราโตพอที่จะเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือยัง” หนังสือเล่าเรื่องปัญหาที่เราต้องเจอ บวกกับแฝงแนวคิดต่างๆ
เป็นหนังสือที่คุ้มค่าในการอ่านมากค่ะ

[Rattanachot Thongpong · Rating 5 out of 5]

👍👍👍

[Bear · Rating 5 out of 5]

โตไป ขอเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ปวดหลัง

[KaTe · Rating 5 out of 5]

ดีมาก ชอบมากๆค่ะ ผู้แปลดีมากกกก อ่านแล้วเหมือนได้นั่งฟังผู้ใหญ่ใจดีสอน อบอุ่นหัวใจค่ะ

[Jackslurpee05 · Rating 5 out of 5]

ดีจริง ควรอ่านมาก แนะนำ

[Yeji · Rating 3 out of 5]

Typical Korean life book focusing the tragic but beautiful nature of youth.