Jump to ratings and reviews
Rate this book

鹿の王 #2 Part 1

ราชันกวาง 3

Rate this book
เล่มที่ 3 ของนิยายมหากาพย์แฟนตาซีตะวันออก ความแค้นแทบกระอักเลือดของชนพื้นเมือง และการเดินทางที่ใกล้เข้าสู่บทสรุปของเรื่องราว

แวนไล่ตามยูนะซึ่งถูกลักพาตัวไปจนได้พบกับชุมชนของชาวอาชาอัคคี พวกเขาเป็นชนเผ่าที่ถูกสึโอรุรุกรานและขับไล่ออกจากมาตุภูมิ เต็มไปด้วยความโกรธแค้นชิงชัง เมื่อได้รู้ถึงความจริงของฝูงหมาที่โจมตีเหมืองเกลือสินเธาว์และความลับเบื้องหลัง รวมถึงความจริงของการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายตนจากหัวหน้าเผ่าโอฟาน แวนจึงเกิดความสับสน

อีกด้านหนึ่ง ฮอซซัลไล่ตามชายคนหนึ่งเพื่อหาวิธีรักษาไข้หมาป่าดำ ผู้ที่ติดโรคและผู้ที่ไม่ติดโรค ความแตกต่างนั้นเกิดจากประสงค์ของเทพเจ้าจริงหรือ

เล่มที่ 3 ของนิยายมหากาพย์แฟนตาซีตะวันออก ความแค้นแทบกระอักเลือดของชนพื้นเมืองที่มีต่อผู้รุกราน การเดินทางที่ต้องพบช่วงเวลาวิกฤติ และโชคชะตาที่นำพาทุกอย่างมาบรรจบกัน ผลงานชนะเลิศรางวัลร้านหนังสือปี 2015 และนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์อนิเมชัน

280 pages, Paperback

Published February 1, 2025

1 person is currently reading
38 people want to read

About the author

Nahoko Uehashi

88 books353 followers
Nahoko Uehashi is the author of ten books in the Moribito series, which have sold more than a million copies and won many major literary awards in her native Japan. An associate professor at a Japanese university, she has a Ph.D. in cultural anthropology and studies indigenous peoples in Australia. She lives near Tokyo, Japan.

Ratings & Reviews

What do you think?
Rate this book

Friends & Following

Create a free account to discover what your friends think of this book!

Community Reviews

5 stars
19 (40%)
4 stars
24 (51%)
3 stars
3 (6%)
2 stars
0 (0%)
1 star
1 (2%)
Displaying 1 of 1 review
Profile Image for Pawarut Jongsirirag.
699 reviews139 followers
August 1, 2025
รีวิวรวมเล่ม 2 - 4 เลยครับ

----------------------

ภายหลังจากเล่มแรกทำหน้าที่ในการวางพื้นฐานทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมของตัวละครต่างๆในเรื่องนี้แล้ว เล่มต่อไปเลยคิดว่าน่าจะเข้าสู่เนื้อเรื่องหลัก สงครามและความขัดแย้งแบบจัดเต็ม ซึ่งสามารถพูดถึงแบบแยกแต่ละเล่มจนถึงเล่มสุดท้ายได้ แต่กลับผิดคาดที่สามเล่มสุดท้าย แท้ที่จริงแล้วเป็นเนื้อเรื่องก้อนเดียวกันที่ตัดแบ่งออกเป็น 3 เล่ม ผมเลยคิดว่าการพูดถึงเล่มที่ 2 – 4 ควรที่จะพูดถึงไปในคราวเดียวกันเลยน่าจะครบถ้วนเก็บอรรถรสทั้งหมดได้ดีกว่า

หลังจากนี้อาจจะมีสปอยล์อยู่เล็กน้อย เพราะจำเป็นต้องเปิดเนื้อเรื่องบางส่วนนิดหน่อย แต่คิดว่าไม่ได้ใช่ส่วนสำคัญอะไร เพียงแค่ต้องพูดถึงว่าใครเจอใครหรือใครพูดอะไรบ้าง เผื่อให้สามารถเล่าถึงเนื้อเรื่องได้นะครับ

เอาละ มาเริ่มกันเลย

ผมคิดว่าประเด็นสำคัญที่สุดที่หนังสือชุดนี้ต้องการนำเสนอ คือ เราจะผสานความแตกต่างของผู้คนที่มีฐานคิดแตกต่างกันจนถึงรากฐานได้ยังไง

นับตั้งแต่เล่มแลกมาจนถึงเล่มสอง หนังสือสร้างคู่ตรงข้ามที่มีนัยความตึงเครียดและไม่อาจอยู่ร่วมกันได้มาโดยตลอด ตั้งแต่จักรวรรดิ์สึโอรุ ที่ให้ภาพของประเทศมหาอำนาจที่เข้ามารุกรานยึดครองและครอบงำประเทศเล็กๆที่อยู่รายล้อมเพื่อขยายอาณาเขตและอิทธิพลของตน แต่การขยายอาณาเขตก็มาพร้อมกับการเข้าปะทะกับชนเผ่าๆต่างที่มีรากฐานทางวัฒนธรรมที่แตกต่างเป็นอย่างมากจากจักรวรรดิ์ สึโอรุ ซึ่งปรากฎอย่างชัดเจนจากเผ่าของแวน ผู้มีวัฒนธรรมการเลี้ยงกวางถลา สัตว์ซึ่งมีวิธีการเลี้ยงเป็นการเฉพาะแตกต่างจากกวางทั่วไป ส่งผลต่อความสามารถของกวางชนิดนี้ที่จะโดดเด่น น่าเกรงขามกว่ากวางอื่นทั่วไป

แต่เมื่อสึโอรุสามารถเอาชนะเผ่าของแวนได้ เริ่มกลืนกินพื้นที่และนำพาผู้คนของตนเองเข้ามาตั้งรกรากในผืนแผ่นดินแห่งนี้ สึโอรุกลับละเลยองค์ความรู้ในการเลี้ยงกวางถลาไป โดยคิดว่ามันเป็นเพียงกวางอีกชนิดหนึ่งเท่านั้น จนในท้ายที่สุดความรู้ของการเลี้ยงกวางถลาเกือบจะสูญหายไป จนแวนกลับเข้ามาส่งต่อความรู้ในจุดนี้ได้ ในฐานะคนสุดท้ายของชนเผ่าที่ยังมีความรู้ในเรื่องนี้และไม่ต้องการให้ความรู้ชุดนี้สูญหายมลายไปตามวิธีการปกครองของสึโอรุ

จุดนี้เองแสดงให้เห็นว่า จักรวาลของ ซีรีย์ชุดนี้กำลังวางโครงสร้างของโลกที่มีความแตกต่างกันเป็นจำนวนมาก (ในเรื่องยังมีอีกเผ่าที่สำคัญ แต่ขอละไว้เพราะจะสปอยเกินไป) แต่ความแตกต่างนี้กลับไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายที่เท่าเทียมกัน ดังเช่นต้นไม้หลายชนิดที่เติบโตในผืนป่าเดียวกัน แต่กลับแสดงให้เห็นความสูงต่ำของความแตกต่างที่มีสิ่งหนึ่งเหนือกว่าและควบคุมความแตกต่างอื่นๆ ให้อยู่ภายใต้การกำกับของตนเอง

ซึ่งนำมาสู่คำถามสำคัญของเรื่องนี้ ว่าความแตกต่างนี้ คือ สิ่งจำเป็นหรือไม่ และมันสมควรจะต้องเป็นอย่างที่เห็นหรือเปล่า

คำตอบแรกที่ถูกเผยออกมานั้น ปรากฎผ่านการปะทะกันขององค์ความรู้ด้านการแพทย์ที่นำโดยฮอสซัล หมออัจฉริยะของชนเผ่าโอทาวัลที่สิ้นชาติไปแล้ว ซึ่งมีองค์ความรู้ทางการแพทย์แบบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ที่เชื่อว่ามนุษย์สามารถต่อสู้กับธรรมชาติได้ ไร้ซึ่งอภินิหารของทวยเทพ ตั้งคำถาม ทดลองและหาคำตอบ นัยหนึ่งจึงเป็นองค์ความรู้ที่เชื่อว่ามนุษย์มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงความจริงของธรรมชาติได้

ในอีกด้านหนึ่ง คือ องค์ความรู้ทางการแพทย์ในเชิงจิตวิญญาณของสึโอรุ ที่เชื่อว่ามนุษย์ช่างเล็กจ้อย ไม่อาจต้านทานความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า สิ่งเดียวที่มนุษย์ทำได้ คือยอมรับความเจ็บไข้ได้ป่วยซึ่งเป็นภาพแทนของพระประสงค์ของพระเจ้า แพทย์ในทิศทางนี้ (ที่มีลักษณะเฉกเช่นนักบวช) จึงดำเนินการรักษาในเชิงของกาประคองให้ผู้ป่วยเจ็บป่วยน้อยที่สุดเมื่อเกิดโรคเท่านั้น และปล่อยให้โชคชะตากำหนดว่าผู้ป่วยจะหายหรือไม่ด้วยความประสงค์ของพระผุ้เป็นเจ้าเอง

การปะทะกันของแนวคิดทั้งสอง ไม่ได้มีสูงต่ำอย่างชัดเจน เป็นเหรียญสองด้านที่คัดง้างกันผ่านอิทธิพลทางการเมืองว่าฝ่ายใดจะขึ้นกุมอำนาจซึ่งจะส่งผลต่อการกำหนดนโยบายว่าอาณาจักรอันยิ่งใหญ่นี้จะรักษาผู้คนด้วยองค์ความรู้แบบใด

การไม่ยอมลงกันนี้เองนำมาซึ่งปมขัดแย้งสำคัญของเรื่องที่จะปรากฎในปลายเล่มสองจนจบเล่มสุดท้าย

ในด้านหนึ่งมันคือการต่อสู้ของวิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณ สิ่งใดแน่ที่ควรทำหน้าที่กำกับสังคม

การปะทะกันของเหรียญทั้งสองด้านนี้ นำมาสู่คำตอบแรกว่า การอยู่ร่วมกันของด้านทั้งสองนี้อาจเป็นไปได้ เพราะมีอยู่หลายแง่มุมที่ความรู้ด้านใดด้านหนึ่งดูพร่องไปและจะสมบูรณ์เมื่อนำเอาความรู้อีกฝากเข้ามาเติมเต็มซึ่งกันและกัน ซึ่งปรากฎผ่านบทสนทนาจำนวนมากที่ฮอสซัลพูดกับพรรพวกของเขา เพราะแม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดทางจิตวิญญาที่ดูจะยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม แต่เขาก็เห็นแง่มุมบางอย่างทางจิตวิญญาณที่จำเป็นต่อการรักษาอาการป่วยเช่นเดียวกัน

คำตอบต่อมา นำพาย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของซีรีย์นี้ อย่าง ความขัดแย้งของจักรวรรดิ์และชนเผ่าต่างๆ

ในฉากหน้าของเรื่องราวนั้น ชัดเจนว่าการอยู่ร่วมกันย่อมเกิดขึ้นได้ยาก เพราะมีลำดับสูงต่ำที่ชัดเจนและอิทธิพลที่แตกต่างกันมากเกินไป

แต่ถึงกระนั้น เมื่อเรื่องราวเริ่มคลี่คลายตัวลงไปเรื่อยๆในเล่มสามและสี่ จะพบว่า จุดสำคัญที่ทำให้ความไม่เท่าเทียมนี้เลือนหายไป คือ เชื้อโรคหมาป่าดำ ตัวเอกสำคัญที่สุดของเรื่องนี้

เชื้อโรคตัวนี้เองที่ทำให้ความคิดว่าสิ่งใดสูงต่ำกว่านั้นกลับตาลปัตร และส่งผลให้ทุกอย่างกลับมาเท่าเทียมกันต่อหน้าความตายอีกครั้ง เพราะเชื้อโรคนี้ไม่ได้เลือกชนเผ่า ไม่ได้เลือกเพศ อายุ สีผิวตาหรือวัฒนธรรมใด ทุกคนสามารถพ่ายแพ้แก่โรคนี้ได้ทั้งสิ้น แต่ถึงกระนั้น อ.นาโฮโกะ สร้างความพ่ายแพ้นี้ให้มีลำดับเวลาและสิทธิพิเศษเกิดขึ้นเช่นกัน (เพื่อเป็นพล็อตสำคัญของเรื่อง) เพราะมีบางคนที่มีภูมิป้องกันที่ทำให้เชื้อโรคนี้อาจจะไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิดจากรูปแบบบางอย่างของชีวิตที่จะเป็นประเด็นสำคัญของเรื่องนั่นเอง (จบแค่นี้ เพราะพูดต่อสปอยเลย ผ่ามๆ)

การกลับตาลปัตรนี้เอง ทำให้อำนาจที่เคยเอนเอียงกลับมาตรงกันอีกครั้ง และทำให้ภาพลวงของความแตกต่างพลันแหลกสลายและเผยให้เห็นว่าความแตกต่างที่ทุกคต่างคิดไปเองนี้มันคือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ผ่านชาติที่ต่างกัน พื้นที่คนละฝากฝั่งและความหลากหลายของวัฒนธรรมที่ “ไม่ใช่ความแตกต่าง แต่เป็นความหลากหลาย” ที่มีจุดเริ่มต้นจากวิถีชีวิตที่เคารพต่อธรรมชาติเท่านั้น

จากปมคำถามและการสอดแทรกคำตอบทั้งสองส่วน ทำให้ผมคิดว่าเจตนาสำคัญที่ อ.นาโฮะโกะ ต้องการจะสื่อกับนักอ่าน (และโดยเฉพาะนักอ่านวัยเด็กและวัยรุ่น) นอกจากความบันเทิงในเชิงของวรรณกรรมแล้ว อ. ต้องการให้นักอ่านตั้งคำถามถึงความแตกต่างที่อยู่รอบตัวเรา ว่าสิ่งเหล่านี้มันคือความจริงแท้หรือมันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น

ต้องไม่ลืมว่าเมื่อเราปักป้ายว่าสิ่งใดแตกต่างจากเรา สิ่งที่ตามมาย่อมหนี้ไม่พ้นการจัดแบ่ง “พวกเขา พวกเรา” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อการจัดแบ่งเกิดขึ้นแล้ว หลังจากนั้นจะนำมาสู่การสร้างภาพจำ อคติ ความบาดหมาง นัยของอำนาจที่แตกต่าง ซึ่งท้ายที่สุดนำมาสู่สงคราม ความตายและการสูญเสีย ดังที่ช่วงท้ายของซีรีย์ชุดนี้เผยให้เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด

แต่หากเราสามารถมองโลกไม่ใช่เพียงขาวดำ (และไม่ใช่สีเทา) แต่เป็นสีสันที่หลากหลายแตกแขนงออกไปนับไม่ถ้วนท่ามกลางผินดิน ผืนน้ำและผืนป่าที่เราทุกคนอาศัยอยู่ร่วมกัน ผมคิดว่าเราจะใช้ชีวิตแตกต่างออกไปจากการมองโลกอย่างขาวดำแน่นอน

เหมือนกับที่ แวน ได้เข้าใจทุกอย่างในท้ายที่สุดของเรื่องราวที่นำมาสู่การตัดสินใจครั้งสำคัญในฐานะของ “เขาแหลมเดียวดาย” ที่แท้ที่จริงแล้ว ความเดียวดายเป็นเพียงภาพลวงตาที่เขาสร้างมันขึ้นมาเอง และเมื่อเขาสลายภาพลวงตานี้ได้ และเห็นภาพทุกอย่างชัดเจนอย่างที่มันควรจะเป็น ไม่มีซึ่งสึโอรุหรือชนเผ่า มีเพียงเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น ผมคิดว่าช่วงเวลานั้น แวน ได้หลุดพ้นจากทุกอย่างเหมือนกับที่เขาได้หลุดพ้นจากคุกนรกเหมืองในช่วงต้นเล่มแรก และได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์เสียที....

ปล.ในซีรีย์ยังมีประเด็นที่น่าสนใจอีกมากเลยนะครับ โดยเฉพาะด้านมานุษยวิทยา รัฐศาสตร์ และการบริหาร ที่สามารถนำมาเขียนแยกได้อีกเยอะเลย แต่ขอทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านี้ เพื่อให้ได้ลองไปอ่านกันดู แม้ต้องยอมรับในภาพรวมแล้ว เป็นนิยายแฟนตาซีที่เดินเรื่องแบบเรียบนิ่งตามสไตล์พี่ญี่ปุ่นอย่างชัดเจน แต่เมื่อมองทุกองค์ประกอบแล้ว ผมคิดว่า ราชันกวางนับเป็นซีรีย์แฟนตาซีขนาดสั้นที่โดดเด่นมากๆ ท่ามกลางแฟนตาซีที่จะต้องเล่นใหญ่ไฟกระพริบไปทั้งหมด

จนนึกได้ว่า มันนับเป็นแฟนตาซีในสไตล์เดียวกับสตูดิโอจิบลิได้เช่นกัน

แนะนำมีไว้ประดับบ้านอย่างแน่นอนขรั่บ ขรั่บ
Displaying 1 of 1 review

Can't find what you're looking for?

Get help and learn more about the design.