สฤณี อาชวานันทกุลAuthor 82 books1,121 followersFollowFollowNovember 14, 2014นวนิยายที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งที่เคยอ่าน ด้วยส่วนผสมของเอกลักษณ์ในการใช้ภาษาถิ่นผสมกับภาษากลาง ก่อเกิดเป็นน้ำเสียงเฉพาะตัว ความเฉียบคมในการเล่าเรื่อง และการสลับฉากตัดตอนให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างปัจเจกกับสังคม ความขัดแย้งไร้สาระระหว่างการสร้างภาพกับความจริงที่แยงตาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเรื่องราวในเล่มดูเผินๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเดินทางกลับถิ่นฐานของชาวอีสานครอบครัวหนึ่ง ซึ่งถูกสถานการณ์บังคับให้แตกกระสานซ่านเซ็นไปทำงานต่างถิ่น ต้องพึ่งพาระบบขนส่งมวลชนที่พึ่งพาไม่เคยได้แต่ต้องจำใจอยู่กับมัน แต่ผู้เขียนตัดภาพสลับฉากการรอนแรมกลับบ้านด้วยเกร็ดนิทานปรัมปราของท้องถิ่น ประวัติศาสตร์ของชาติ และความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร เพื่อสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างส่วนบน ("ความนิ่งสงบโดยการปราบปราม") กับความไร้ประสิทธิภาพเหลือทนของระบบขนส่งมวลชน (อัน "มิอาจวางใจอะไรได้ ทั้งยังมิอาจคาดการณ์หรือล่วงรู้อะไรได้เสียเลย") ผู้เขียนมีความสามารถอย่างน่าทึ่งในการฉายรูปธรรม - โดยไม่ต้องบอกตรงๆ - ของการเอารัดเอาเปรียบเชิงโครงสร้างซึ่งทำให้คนค่อนประเทศถูก "เนรเทศ" ทางร่างกายและทางความคิดออกจากการรับรู้ของผู้คนที่อยู่ร่วมประเทศแต่เสมือนอยู่ดาวเคราะห์คนละดวง เกิดขึ้นอย่างซ้ำซากจำเจจนถูกมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญทั้งที่ความธรรมดานั้นไม่ควรธรรมดาเอาเสียเลย เต็มไปด้วยชั้นเชิง ความหมาย และการแดกดันอย่างแยบยล ที่ชอบเป็นพิเศษคือการใช้ประโยคเดียวกันซ้ำกันหลายบท เพื่อถ่ายทอดความจำเจของสถานการณ์ ตัวละคร และความคิด
Wannida125 reviews49 followersFollowFollowJune 30, 2015 “เนรเทศ” ไม่ได้มีโครงเรื่อง (Plot) ที่สลับซับซ้อน เป็นเรื่องของชายคนหนึ่ง ชื่อ “สายชน ไซยปัญญา” ที่กำลังจะพาลูกสาว แม่ และหลานชายซึ่งเดินทางมาเยี่ยมตัวเขาที่ชลบุรีกลับบ้านที่ศรีสะเกศ โดยใช้บริการรถสาธารณะ เหตุการณ์หลักในเรื่องเริ่มจากการรอรถสองแถวจากนอกเมืองชลบุรีเพื่อเดินทางเข้าไปในตัวเมือง เพื่อต่อรถไปกรุงเทพฯ และการรอรถที่สถานีขนส่งหมอชิต กล่าวได้ว่า นวนิยายเรื่องนี้เป็นงานเขียนแนวโพสต์โมเดิร์น (Post-modernism) เพราะสร้างสรรค์ด้วยการบรรจุ ผสมผสานเรื่องเล่าหลากหลายประเภท (genre) ไว้ภายในเป็นการหลอมแนวเขียนที่หลากหลายเข้าด้วยกัน ทั้งประวัติศาสตร์ นิทานท้องถิ่น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสะท้อนไปสู่แนวคิดสำคัญเรื่องการเมืองไทยที่ล้มเหลว รัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่สนใจจะพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริงนอกจากนี้ยังมีจุดที่น่าสนใจคือ ผู้เขียนเลือกใช้คริสต์ศักราช (ค.ศ.) ในการเล่าประวัติศาสตร์ตลอดทั้งเรื่อง กล่าวคือ เราจะพอรู้ว่าเหตุการณ์คืออะไรหรืออยู่ในช่วงไหนจากชื่อบุคคลนั้นๆ แต่หากเราไม่ได้คำนวณเป็นพุทธศักราช (พ.ศ.) ดู เราก็จะไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตรงไหนของจุดเวลากันแน่ ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่น่าสนใจมาก นั่นคือผู้เขียนพยายามจะบอกว่า ประวัติศาสตร์มันไม่เรียบและมิติการมองประวัติศาสตร์ของคนเรานั้นไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น หากลองใช้ ค.ศ. แทนที่จะใช้ พ.ศ. ในการสื่อถึงเวลาในประวัติศาสตร์ ก็อาจจะทำให้การรับรู้ (perception) เรื่องราวในประวัติศาสตร์เปลี่ยนไป ทำให้ประวัติศาสตร์ที่เราคุ้นเคยกลายเป็นความไม่คุ้นเคย ให้หยุดคิดและฉุกคิด มากกว่าจะติดความเคยชินแล้วปล่อยผ่านอย่างที่ผ่านมาเราก็จะรู้กันว่ารัฐประหารในเมืองไทยเกิดขึ้นบ่อยมาก (13 ครั้ง ในช่วงเวลา 82 ปี) โดยที่คนส่วนใหญ่มักมองเป็นเรื่องเคยชิน แต่ผู้เขียนต้องการจะให้เราฉุกคิดว่าแท้จริงแล้ว รัฐประหารไม่ควรเป็นเรื่องที่เราเคยชิน และประวัติศาสตร์ที่คิดว่าเราคุ้นเคยมันไม่ใช่เรื่องน่าคุ้นเคยเลย น่าหนักใจมากกว่า เพราะมันวนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ดังที่ผู้เขียนได้แทรกทัศนะผ่านสายชน ไซยปัญญาไว้ว่า “ใครว่าการเมืองไทยมันบ่นิ่ง มันนิ่งมากๆ ต่างหาก นิ่งงันสงบรำงับสม่ำเสมอจนทำให้ปรากฏเห็นในประเทศเป็นเยี่ยงนี้แหละ”อ่านแล้วก็ให้รู้สึกเหนื่อยและอึดอัด เหนื่อย- ในแง่ที่ว่าเมื่อไรจะถึงบ้านสักที รอรถ หิวข้าว รถร้อน แออัด ฯลฯ ผู้เขียนบรรยายแล้วเรารู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับตัวละครได้ดี อึดอัด ในแง่ที่ว่า ตัวบทกระตุ้นให้เราตั้งคำถาม ทว่าเป็นคำถามถึงการเมืองไทยที่ดูเหมือนจะไร้ทางออก แต่ก็ทำให้เราตระหนัก ฉุกคิดได้ว่า นี่เป็นสิ่งที่เราไม่ควรเคยชิน โดยเฉพาะเรื่องการรัฐประหารแต่ด้วยความที่กลวิธีนำเสนอมันเยอะ หลากหลาย มีลักษณะของสัจนิยมมหัศจรรย์เข้ามาผสม ทำให้บางส่วนอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจว่าผู้เขียนต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ บรรยายจุดนี้มาเพื่ออะไร เลยทำให้น่าเบื่อหน่ายในบางจุด บางส่วนในเรื่องมีกลิ่นอายจากวรรณกรรมแนวสัจนิยมมหัศจรรย์ชื่อดังเรื่อง “หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว” และ "ทารกเที่ยงคืน
Ek Guevara268 reviews32 followersFollowFollowJuly 26, 2016นิยาย road trip ที่คอยสะกิดเราให้มองย้อนมองอดีตไปพร้อมกับการออกเดินทางกลับบ้านที่ไม่คุ้นเคยขึ้นไปทุกทีที่เราทอดเวลาให้เนิ่นนานออกไป ผู้เขียนมองอดีตและเหตุการณ์ในปัจจุบันแบบตำนานซึ่งผู้เล่าอดไม่ได้ที่จะจะสอดแทรกอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์และความเหนือจริงเข้าไปทีละน้อยทุกครั้งที่เล่าเรื่องนั้นใหม่ เมื่อเอามารวมกันจึงกลายเป็นสถานการณ์ที่เราอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่ผสมผสานกับความเหนือจริง 'ที่เพิ่งสร้าง' ได้อย่างกลมกลืน มันอาจไม่ถึงกับเปลี่ยนมุมมองของเราต่อสิ่งที่เิกดขึ้นในประเทศและท้องถิ่นระหว่างสองสามช่วงอายุคนที่ผ่านมา แต่มันก็ตั้งคำถามที่สำคัญให้เราไปค้นหาหลังจากอ่านจบ
Ariya590 reviews72 followersFollowFollowSeptember 24, 2015แม้จะเป็นนิยายขนาดสั้นที่มีวิธีการเขียนที่นำเอาความเป็นเรื่องสั้นแนวทดลองแบบตะวันตกมาใช้ ทั้งการใช้ไวยากรณ์แบบอังกฤษที่ไม่ระบุตัวแทน (agency) การใช้ภาษาถิ่น ผสมกับเหตุการณ์ที่ไม่เรียงตามลำดับเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการแทรกความมหัศจรรย์ผ่านเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันและพงศาวดารพื้นถิ่นที่มีกลิ่นอายของสัจนิยมมหัศจรรย์ และความเหนือจริง อย่างไรก็ตาม เนรเทศ ของ ภู กระดาษ ก็ยังไม่อาจก้ามพ้นการถ่ายทอดถึงคนในชนบทที่ต้องเนรเทศตัวเองเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่และพบเจอสภาวะการค้นหาตัวตนและความเป็นท้องถิ่นในป่าคอนกรีต รวมถึงการค้นหารากเหง้า และการตั้งคำถามกับความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ได้ เนื่องจากการป้อนข้อมูลทางประวัติศาสตร์เข้ามาในแต่ละบทเพื่อให้เห็นความขนานกันของ fiction and fact (ทางประวัติศาสตร์) ที่ผู้เขียนตั้งใจทำให้เห็นว่าความเป็นข้อเท็จจริงนั้น��ป็นเพียงข้อเสมือนจริง แต่การป้อน "ก้อนข้อมูล" เข้ามาทำให้นวนิยายขาดพื้นที่ให้กับคนอ่านได้ถอดความและหาความเชื่อมโยงระหว่างอัตลักษณ์ของความเป็นปัจเจกของตัวละครในเรื่องให้เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ที่เป็นเหมือนตัวละครเอกของเรื่อง จนตัวละครในเรื่องแทบไม่มีบทบาทใดนอกจากสะท้อนความหมายเชิงสัญลักษณ์ แต่ขาดหัวใจของการมีชีวิตในฐานะตัวละครนอกจากนี้ ฉากสัจนิยมมหัศจรรย์ก็แทบจะถอดออกมาจากวรรณกรรมละตินอเมริกา รวมถึงความลั่กลั่นทั้งฉากผี ฉากร่วมรัก จนสร้างความแตกต่างระหว่างความเป็นชนบทและความเป็นเมือง ซึ่งขัดแย้งกับสารที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อเน้นให้เห็นความพื้นที่ทั้งสองจริงๆมีความเชื่อมโยงกันแต่ถูกความเป็นสังคมแบ่งชนชั้นและอคติทำให้เกิดความแตกแยกชัดเจน และความเมืองกลับถูกให้ภาพของความชินชา และคุกคามตัวตนของคนชนบทที่ถูกทำให้แปลกแยกไปจากความเป็นเมือง แต่กลับไม่ได้สร้างความชอบธรรมหรือทำให้เห็นแรงปะทะที่เท่าเทียมกันระหว่างความเป็นชนบทที่จริงๆแล้วก็มีความเพิกเฉยและโหดร้ายในแง่ของชนชั้น และสภาพปากกัดตีบถีบที่ไม่ต่างกับคนภายในเมือง จึงทำให้ผู้อ่านมองว่านวนิยายเรื่องนี้ยังไม่อาจก้าวข้ามผ่านความเป็นนวนิยายสัจนิยมที่แค่หยิบยกเอาความมหัศจรรย์เข้ามาใส่เป็นเทคนิกการเขียนใหม่เท่านั้น 2015
โตมร ศุขปรีชาAuthor 76 books410 followersFollowFollowSeptember 23, 2015'เนรเทศ' ของภูกระดาษ เป็นหนังสือที่ 'มันส์' มาก อ่านแล้วถึงเนื้อถึงหนังอย่างยิ่ง เหมือนเคี้ยวอาหารอะไรสักอย่างที่มีเนื้อเยอะๆแต่ค่อนข้างเหนียว ทำให้ต้องเคี้ยวนานหน่อย แต่ก็เต็มปากเต็มคำ ตอนแรกทีเดียวอาจรู้สึกว่าเคี้ยวยากนิดหน่อย แต่ยิ่งเคี้ยวเนื้อนั้นก็ยิ่งฟูขยายและยิ่งแน่นขึ้นเรื่อยๆ ความหนืดเหนื่อยที่กรรมการซีไรต์บอกนั้น โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นความหนืดเหนื่อยที่แสนสนุก เป็นอีกเล่มที่อ่านได้รวดเดียวจบ (เพิ่งอ่านเมื่อเช้านี้)หนังสือเล่าเรื่องชีวิตชาวบ้านธรรมดาๆที่ออกเดินทาง 'กลับบ้าน' แบบเดียวกับมหากาพย์โอดิสซีย์ที่ก็เป็นมหากาพย์จริงๆ เนื่องจากโครงสร้างสังคมที่เป็นอยู่ ทำให้อ้ายหล่าอีแม่อะไรพวกนี้ ไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้โดยเสรีและเท่าเทียมทางโอกาส (แม้กระทั่งโอกาสในการเดินทาง) เหมือนคนมีฐานะ ผลลัพธ์จึงเป็นการเดินทางที่หนืดเหนื่อยเชื่องช้า อ่านแล้วหัวร่อไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แม้มีทางลัดกว่านี้ ให้เดินทางจากชลบุรีไปอีสาน แต่ก็อันตรายเกินกว่าที่เด็ก คนแก่ (และที่จริงก็แม้กระทั่งคนหนุ่ม) จะไปได้ พวกเขาจึงต้องถูก Centralized ดึงดูดโดยหมอชิตใหม่ (หรือกรุงเทพฯ หรืออำนาจรัฐส่วนกลาง ฯลฯ ตามแต่จะตีความกันไป) ให้หมุนเวียนกลับเข้ามาในกรุงเทพฯ เพื่อบริโภค (ผ่านการกิน) ที่นี่เสียก่อน แล้วค่อยได้รับการตอบแทนเป็นบริการห่วยๆเพื่อกลับบ้านอย่างแช่มช้า Slow Life [แถวๆนี้สามารถวิเคราะห์ละเอียดได้เลยถึงเรื่องของอำนาจรัฐและการแย่งชิงอำนาจรัฐของคนชั้นสูงที่ส่งผลต่อต่อชาวบ้านลึกลงมาถึงการคมนาคมขนส่ง]นอกจากจะสนุกกับศัพท์แสงอีสานในทางภาษาแล้ว (ม่วนขนาด-อันนี้พูดภาษาเหนือ tongue emoticon ) ผู้อ่านน่าจะสนุกไปกับการที่หนังสือเอ่ยชื่นชมเหล่าทหารและการรัฐประหารครั้งต่างๆที่กระจายอยู่ตลอดเรื่องด้วย แม้ปรากฎไม่มากครั้งนัก แต่ก็เข้าถึงอารมณ์ เป็นตลกหน้าตายที่เจ็บแสบ ที่บาดลึกที่สุดก็คือทหารตัวเล็กๆชั้นผู้น้อยที่มาปรากฎตัวตอนท้ายเรื่อง ก็เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อให้เห็นถึงความหนืดเหนื่อยที่ทำให้ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้อย่างแท้จริง-ว่าตัวเองจะสามารถกลับไปถึงบ้านได้หรือไม่ที่ไม่ชอบในหนังสือก็คือเวลาเล่าข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ต่างๆ มันจะปรากฎขึ้นมาแบบแข็งๆ ตรงไปตรงมา อาจเป็นความจงใจของผู้เขียนก็ได้ แต่เวลาอ่านแทบจะกระโดดข้ามเนื้อหาพวกนั้นไปเลย เพราะอยากเสพซับความสนุกของการเดินทางมากกว่า
Chontiwat Udomsiripat223 reviews5 followersFollowFollowApril 22, 2024เนรเทศ เป็นนิยายขนาดสั้น เล่าถึงการกลับบ้านของกลุ่มคนใช้แรงงานชาวอีสาน จากจังหวัดหนึ่งไปยังจังหวัดหนึ่ง โดยมีฉากหลังคือหลังการรัฐประหาร 2014 ตัวเนื้อเรื่องจะค่อย ๆ เล่าความเป็นมาของตัวละครเอก ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ตัดสลับกับการย้ายถิ่นที่อยู่นั่นสัมพันธ์กับเหตุการณ์ทางการเมืองตอนไหนบ้าง เนื้อเรื่องไม่มีอะไรให้หวือหวา แค่น่าเอาใจช่วยให้พวกตัวละครกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยก็โอเคแล้วและความไม่หวือหวานี่เอง ก็สะท้อนถึงการย้ายถิ่นที่อยู่เข้ามาเป็นแรงงานในกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะมาจากจังหวัดไหนก็ตาม แรงงานเหล่านั้นต่างต้อง “เนรเทศ” ตัวเอง เข้ามาอยู่ในแคมป์คนงาน ออฟฟิศ มหาวิทยาลัย รวมไปถึงโรงเรียน ตราบใดที่อำนาจจากส่วนกลางยังคงกระจุก ไม่ปล่อยให้มีการกระจายอำนาจอย่างเป็นรูปธรรม การเนรเทศตัวเองจากปิตุภูมินี้ ก็จะยังมีต่อไป เป็นวัฏจักรหมุนวนไปไม่จบสิ้นรุ่นก่อนมีเสื่อผืนหมอนใบ รุ่นปัจจุบันไซร้ใช้ไอโฟน2023
Kubpam So88 reviews11 followersFollowFollowFebruary 16, 2015เป็นเรื่องของการเดินทางที่เหนื่อยล้าของตัวละครพี่น้องป้องปายไทบ้านเฮา ท่วงทีภาษาที่ใช้จึงคลุกเคล้าระหว่างถิ่นอิสานกับไทยกลาง เช่นเดียวกับเนื้อเรื่องที่คู่ขนานไปกับฉากประวัติศาสตร์ขนาดใหญ่ที่ยังเดินทางไปไม่ถึงไหนการเรียบเรียงเหตุการณ์ในอดีตกระชับ แต่ลงรายละเอียดในบางช่วงบางตอน การบอกเวลาเป็น ค.ศ. ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังอ่านแบบเรียนประวัติศาสตร์ต่างชาติ ตำนานท้องถิ่นที่มีเนื้อหาแปลกแยก แต่เมื่อนำมาจัดวางในระนาบเดียวกันกลับถูกบังคับให้ตีความเกี่ยวโยงกัน "...มันจึงขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็นคนเล่าต่อจะเป็นคนจินตนาการเติมต่อ และโดยมุมมองของใคร แบบไหน คิดอย่างไรกับผู้ที่จะฟังต่อจากนี้..."
คุณชายกอล์ฟ นิรัติศัย129 reviews26 followersFollowFollowJuly 25, 2021"คุณภาพชีวิตของคนในชาติใดๆ สังเกตได้จากคุณภาพของระบบขนส่งสาธารณะในชาตินั้นๆ"อ่านเล่มนี้จบ จะเห็นภาพของประโยคข้างต้นชัดเจนเลยครับไม่น่าเชื่อนะครับ กว่า 100 ปีที่ผ่านมา แทบไม่มีอะไรพัฒนาขึ้นมาเลยตัวละครในเรื่อง ล้วนอยู่ในภาวะจำยอม ไม่มีทางเลือกมากนัก ได้แต่ทนไปกลับไม่ได้ ไปไม่ถีง เหมือนเราๆ ท่านๆ ที่ต้องทนอยู่กับสิ่งที่น่าจะดีกว่านี้ได้ ในทุกวันนี้ หรือเปล่า?ในส่วนที่เป็นประวัติศาสตร์การเมืองไทย ถ้าผมได้อ่านเล่มนี้ ก่อนที่จะได้อ่าน "ขุนศึก ศักดินา พญาอินทรี" คงจะว้าวมากกว่านี้แน่นอนครับ การที่ผู้เขียน ระบุป���เกิดเหตุการณ์ต่างๆ เป็น ค.ศ. แทน พ.ศ. ก็ให้อารมณ์การอ่านอีกรูปแบบหนึ่งครับ สามารถเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์โลกได้ดีขึ้นe-book novel
DKBOI40 reviews1 followerFollowFollowMarch 14, 2024เลือกหยิบเล่มนี้เพื่อมาทำความรู้จักกับนักเขียนท่านนี้เป็นครั้งแรก ในเชิงเนื้อ���าส่วนตัวเราชอบนะ มันลึก เข้าถึง และให้ความรู้สึกที่หนักหน่วง ส่วนในเชิงกลวิธีการเล่าและภาษามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาก อ่านเพลิน และสะท้อนถึงการเคี่ยวกรำฝีมือที่ไม่ธรรมดา ชอบการยกตำนานปรัมปรามาเล่าแทรก มันครีเอทมาก บทเปิดนี่อย่างเจ๋ง เป็นนักเขียนเลือดอีสานที่เท่พอตัวเลย
ปฐมพงศ์20 reviews10 followersFollowFollowFebruary 27, 2015เป็นงานศิลป์คุณภาพเยี่ยมของลูกอีสานคนหนึ่งเขาเล่าเรื่องมหากาพย์ของการกลับบ้านด้วยระบบขนส่งมวลชนอันมีชื่อของรัฐไทยได้อย่างหมดจด แวดล้อมด้วยประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้มองจากแกนกลาง แต่เป็นประวัติศาสตร์ในสายตาของผู้คนที่อยู่เบื้องล่างและห่างออกไป ในดินแดนที่เรียกกันว่า อีสาน, ลาว, เขมร และใช้ภาษาท้องถิ่นที่มากมายมหาศาล แน่ล่ะเขาใช้ภาษาท้องถิ่น เล่าตำนานท้องถิ่น แต่เขาก็มิได้บอกว่าท้องถิ่นของเขาบริสุทธิ์ เขาเปลือยสภาพสังคมของท้องถิ่นเขาออกมาในลักษณะที่เป็นจริง ภายใต้การเล่าเรื่องแบบสัจนิยม แต่กระนั้นสัจนิยมก็มิอาจเล่าด้วยสายตาของท้องถิ่นได้ จึงจำเป็นต้องก้าวไปอีกขั้นด้วยรูปแบบ สัจนิยมมหัศจรรย์ แถมสิ่งที่ทำให้ผมตื่นตาตื่นใจมากก็คือการเล่าเรื่องที่นำลักษณแบบ non-fiction มา 'แปะ' ไว้ใน 'fiction' (ซึ่งเป็น magical realism!) ทำให้การเล่าเรื่องมันแตกต่าง ขัดแย้ง นำเสนอ เนื้อหาที่เขาต้องการสื่อได้อย่างสมบูรณ์ กล่าวคือรูปแบบการเล่าเรื่องของเขานั้นไม่ได้ทำไปเพียงแต่เท่เท่านั้น แต่มันรับใช้เนื้อหาไปด้วยสิ่งที่สำคัญ เขาแสดงให้เราเห็นว่า สิ่งที่เขาทำนี้มิใช่สิ่งใหม่ที่เกิดจากอัจฉริยภาพที่ล่องลอยมาไม่ขึ้นกับใคร แต่เกิดจากการสั่งสมภูมิปัญญา และการพัฒนาต่อยอดขององค์ความรู้ในระดับสังคม ทั้งในและนอกชุมชนของผู้เขียน ดั่งในหมายเหตุผู้เขียน และรายชื่อประกอบการเขียนที่เขาได้นำมาแสดงในส่วนท้ายของหนังสือเล่มนี้นั่นเองโดยสรุปสำหรับผม นวนิยายเล่มนี้สามารถเป็นได้ทั้ง ตำราประวัติศาสตร์จากมุมมองของท้องถิ่น เป็นบันทึกของตำนานพื้นบ้าน เป็นบทความให้ความรู้เกี่ยวกับระบบขนส่งมวลชนไทย เป็นนวนิยายอ่านเล่น และเหนือสิ่งอื่นใด ในความเห็นของผมแล้ว มันสามารถเป็นนวนิยายสำหรับรับใช้การต่อสู้ของชนชั้นได้อีกด้วย
Minddahed23 reviews10 followersFollowFollowJanuary 18, 2015ภาษารวมตัวได้อย่างดีงาม เส้นเรื่องเป็นเรื่องราวในชีวิตประจำวันแต่กินใจ บางช่วงอัดมวลข้อมูลเยอะมาก
ดินสอ สีไม้1,070 reviews179 followersFollowFollowJune 9, 2015เป็นการนำเสนอเรื่องราวการเดินทางกลับบ้านของคนต่างจังหวัดรอคอยความหวังที่จะเบียดเสียดเยียดยัดเพียงเพื่อให้ได้กลับบ้านเกิดบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสั้นๆ ชั่วหนึ่งเที่ยวการเดินทางจากชลบุรีไปศรีสะเกษเป็นภาพซ้ำ ภาพจำ ที่ได้เห็นในข่าวบ่อยๆ ตอนสงกรานต์ ตรุษจีน หรือขึ้นปีใหม่ ฯลฯเราทุกคนต่างออกเดินทาง ไปเยี่ยงมนุษย์ผู้ถูกเนรเทศชีวิตถูกแขวนไว้กับความ (ไม่) รับผิดชอบ ของระบบขนส่งมวลชนอันมีผลพวงต่อเนื่องมาจากระบบการปกครองอีกทีเสียดายที่การเล่าเรื่องทางประวัติศาสตร์การเมืองทำได้ไม่ลื่นไหลเท่าที่ควรผู้เขียนได้เชื่อมโยงเนื้อหาวิถีชีวิตในปัจจุบันของชนชั้นแรงงานเข้ากับประวัติศาสตร์การปกครอง (โดยระบอบประชาธิปไตย) ของไทยมีจุดเด่นคือภาษาที่ใช้เล่าเรื่อง เป็นภาษาถิ่นที่ไพเราะ มีเอกลักษณ์สำหรับเรา เนรเทศมีอะไรหลายๆ อย่างที่น่าสนใจแต่เนื้อหายังไม่กลมกล่อม ลงตัว ได้น้ำได้เนื้อเท่าที่ควรค่ะเป็นหนังสือที่แปลก น่าจดจำ แต่ยังไม่เป็นที่ประทับใจค่ะ2015 thai
Nutdanai57 reviews10 followersFollowFollowDecember 28, 2020ไม่ค่อยให้ 5 ดาวกับหนังสือเล่มไหนง่าย ๆ เราเริ่มอ่านเนรเทศด้วยความคาดหวังว่าจะออกมาคล้ายกับลับแลแก่งคอย แต่หนังสือมันไปไกลกว่านั้นมาก ตัวเนื้อหาที่จริงแล้วคือประเด็นเล็ก ๆ ที่นำมาขยาย การรอขนส่งสาธารณะที่ทุกคนก็รู้ดีว่าห่วยแค่ไหน ว่าเมื่อไหร่จะมาถึงแต่สิ่งสำคัญคือการสอดแทรกประเด็นอื่นเข้าไป สภาพสังคม ประวัติศาสตร์ ความคิดของตัวละคร สำหรับเราที่อ่านขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรีจบก่อนอ่านเล่มนี้ ได้แต่ร้องโอ้โหในใจที่คิดจะเล่าเรื่องกันแบบนี้เลย
Manasak Khlongchainan3 reviews2 followersFollowFollowJuly 5, 2015นิยายขนาดสั้นเรื่องนี้ค่อนข้างจะเชื่อมโยงกับเราอย่างมาก อาจจะเพราะตัวผู้เขียนกับข้าพเจ้ามีพื้นเพอยู่ที่เดียวกัน แต่ละตัวอักษรที่เราอ่านผ่านไปมันเกิดภาพผุดขึ้นมาในสำนึกเราทุกช่วงตอน อย่างกับภาพในอดีตที่ช่วงหนึ่งเราได้มีโอกาสเดินทางในลักษณะเดียวกับตัวละครในเรื่อง เรื่องสั้นเรื่องนี้แน่นอนว่าเป็นแนว Realist และมันสมจริงอย่างมาก จนกระทั่งปัจจุบันเราคิดว่าภาพเหล่านี้ที่ปรากฎในนิยายเรื่องนี้ก็ยังคงมีอยู่literature
รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์Author 10 books108 followersFollowFollowNovember 18, 2014การเดินทางที่ผ่านขยายจนมีขนาดเท่านิยายภาษา 'ใหม่' แต่ไม่เข้าขั้นอ่านยากชอบครับ แต่บางจังหวะอาจล้นเกินจนเหมือนจงใจเนรเทศ
Nakwan sriaru80 reviews21 followersFollowFollowDecember 8, 2014ชอบตรงมวลหนาแน่น ตรงไปตรงมาว่าจะพูดอะไร แต่ไม่ถูกโรคกับภาษาที่ใช้พูด
Donakrap Dokrappom189 reviews31 followersFollowFollowMay 27, 2024เป็นการอ่านหนังสือที่ทรมานที่สุดอีกครั้งกับงานเขียนสะท้อนปัญหาสังคม การเมืองและวัฒนธรรมเล่มนี้… ผิดจากที่คาดหวังไปมากหนังสือพยายามสะท้อนปัญหาใหญ่ของประเทศจากปัญหาเล็กๆ โดยคนตัวเล็กๆ ที่ประสบปัญหาจากการเดินทางด้วยบริการขนส่งสาธารณะ ด้วยวิธีการเล่าเรื่องในหลากหลายรูปแบบผ่านตัวละครชนชั้นแรงงานเพื่อสะท้อนวิถีชีวิตแบบคนต่างจังหวัด ตัดสลับไปมาระหว่างเหตุการณ์ต่างๆ ในปัจจุบัน อดีต ประวัติศาสตร์การเมือง มีปกรณัมท้องถิ่น และแถมกิมมิคเล็กๆ เหนือจริงแบบสัจนิยมมหัศจรรย์ในรูปแบบผีของภรรยาที่ตายไปแล้วการนำเสนอปัญหาที่มีการรับรู้ของสังคมเป็นวงกว้างอยู่แล้วในรูปแบบนวนิยา��ทำให้งานเขียนเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง เป็นโจทย์ที่ยากมากๆ ที่นักเขียนจะต้องเขียนมันออกมาในมุมมองที่น่าสนใจด้วยกลวิธีที่หลากหลาย หนังสือมีรูปแบบการเขียนที่แบ่งซอยเป็นตอนย่อยๆ ยิ่งขับเน้นให้เห็นการข้ามของเหตุการณ์ไม่ต่อเนื่องกัน ซึ่งวิธีการนี้พอจะไปด้วยกันได้กับสภาวะจิตใจของตัวละครที่เบื่อหน่ายกับการรอคอยรถโดยสารอย่างไม่มีจุดหมาย อย่างไร��็ตามการเล่าเรื่องแบบนี้ก็เป็นดาบสองคมได้เหมือนกันหากนักเขียนทำได้ไม่ดีพอ เพราะมันทำให้เรื่องแหว่งวิ่นไร้พลังลงไปมาก รวมถึงการยัดเยียดข้อมูลเชิงวิชาการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อย่างไม่มีเคอะเขินราวกับเรากำลังนั่งอ่านหนังสือเรียน ซึ่งมันได้ตัดขาดมิติทางด้านอารมณ์ความรู้สึกและหัวจิตหัวใจของตัวละครไปอย่างสิ้นเชิง ยังไม่นับว่าผีในเรื่องแทบไม่มีบทบาทอะไรเลยจนเกิดคำถามว่าจะใส่มาทำไม หรือต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ ซึ่งผู้เขียนไม่ได้เชื่อมโยงอะไรให้เราเลย มันจึงขึ้นอยู่กับการตีความของผู้อ่านล้วนๆ นอกจากนี้ในบางฉากที่ผู้เขียนต้องการเน้นย้ำจะใช้การบรรยายฉากบางฉากซ้ำๆ และพยายามแดกดันกับสภาวะของบ้านเมืองด้วยสัญลักษณ์หลายๆ อย่างเพื่อให้ผู้อ่านสำเนียกและตีความเอาเองในสิ่งที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอแน่นอนว่าจะต้องมีนักอ่านที่พร้อมจะตีความ เอาใจช่วย คิดช่วย พยายามหาเหตุผลให้กับตัวละครตัวหรือแม้กระทั่งคิดต่อไปจากเรื่องราวในหนังสืออยู่แล้ว แต่ผมกลับมองว่าการเล่าเรื่องแบบนี้ไม่สามารถที่จะเชื่อมโยงเข้าหาผู้อ่านได้เลย พูดแรงๆ ก็คือมันเป็นความไร้ฝีมือของผู้เขียนเองนั่นแหละ การเชื่อมโยงประเด็นไม่ใช่หน้าที่ของผู้อ่านเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น จริงอยู่ว่านักประพันธ์ได้ตายลงแล้วหลังจากเขียนงานเสร็จและที่เหลือเป็นอำนาจของผู้อ่านในการตีความเอง แต่มันจะเป็นแบบนั้นได้ก็ต่อเมื่องานเขียนชิ้นนั้นเป็นงานเขียนที่เสร็จสมบูรณ์แล้วในตัวเอง ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยตัวละครและผู้อ่านจนรู้สึกเหมือนกำลังจะต่อจิ๊กซอเพื่อให้ได้รูปภาพที่ยังสร้างไม่เสร็จแบบนี้ การเชื่อมโยงงานงานเขียนเพื่อให้ผู้อ่านยังคงมีส่วนร่วมเป็นสิ่งสำคัญ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับงานเขียนที่ล้มเหลว
Nuttawat Kalapat685 reviews48 followersFollowFollowMay 4, 2021ภู กระดาษ เล่มแรกของผม ถูกจริต ผมอยู่นะ.เล่มที่ 141/2021 (247)เนรเทศby ภู กระดาษ..แต่แอบรู้สึกว่ามีหลายน้ำเสียงในการเล่า และหลายการทดลองมาก จนบางทีเรื่องเล่ามันเหมืออนจะไม่ค่อยเชื่อมโยงกัน.เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว คนอีสานครอบครัวหนึ่งนะบรรยากาศโดยรวมก็จะไป เมืองบ้าง ไปชนบท บ้าง โดยใช้ การใส่ ไทม์ไลน์ ทางการเมือง เข้ามาเทียบช่วงเวลาไทม์ไลน์ชีวิตกันตรงๆ เล่าผ่านการเดินทาง ทางรถสาธารณะ มีเขียนถึงรถไฟด้วยมีการตัดสลับไปเล่าเรื่องเทพนิยายด้วยมีการใช้ภาษาอีสาน เล่าผสม ที่มัน มีๆ หายๆ ไม่ต่อเนื่องกันทั้งเรื่องเลยต้องปรับตัวกันนิด.ความเห็น - สิ่งที่สัมผัสได้เลย ก็คือหนังสือมันโคตรการเมือง 5555และมีหลายพร็อพ หลายฉากที่ใส่มาซ้ำ จนอันนี้คือต้องการสื่อแบบ ตั้งใจให้เห็นกันชัดๆ บ่อยมาก (แต่ไม่บอกว่าคือฉากอะไร)- สิ่งที่สัมผัสได้เลย คือ ผู้เขียน อ่านงาน อ.ณัฐพล ใจจริง มาป่าววะ แล้วสรุปตอนสุดท้ายก็เห็น บรรณานุกรมจริงๆ 55.แต่ก็ยังชอบอะไรแบบนี้อยู่ ชอบแนวนี้ แนวการเมือง 8/10
Sarapun9 reviewsFollowFollowJuly 1, 2019การมีประสบการณ์ร่วมในเรื่องการเดินทางโดยใช้ขนส่งสาธารณะในประเทศไทยทำให้ค่อนข้างอินกับหนังสือมากๆ คุณอาจถูกเนรเทศ แต่ลึกๆแล้วคุณอาจสมัครใจเนรเทศตัวเองก็ได้ในบางครั้ง เหมือนตัวละครหลัก ซึ่งแม้ในหนังสือจะมีพื้นหลังเป็นเหตุการณ์ทางการเมือง และพลวัตทางสังคมที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนโดยไม่เต็มใจ แต่สายชน ไซยปัญญา ก็ยินยอมเนรเทศตัวเองให้โดดเดี่ยว เมื่อ ล. ตายจากไป โดยไม่แต่งงานใหม่ หรือมีคนรักใหม่ อาจจะเรียกว่าเนรเทศตัวเองจากชีวิตคู่ตัวผัวเมียก็ได้มั้ง This entire review has been hidden because of spoilers.
รอนฝัน ตะวันเศร้า9 reviews1 followerFollowFollowMarch 16, 2018หมายเลขหนึ่ง ของงานเขียนร่วมสมัยแบบไทยๆ. ว่าแต่พอจะมีซักสองร่อยค่ารีวิวบ่ครับ?
Non Overme25 reviews9 followersFollowFollowFebruary 26, 2021ในความซ้ำซาก เนิบเนือย หนืดเหนอะ ของคนพลัดถิ่นในถิ่นฐานของตนเอง มาสู่กรุงเทพฯกรุงไทยในรวมศูนย์ของพี่น้องป้องปาย
Nitthita60 reviews22 followersFollowFollowJanuary 24, 2021การรอคอยอันซ้ำซาก จำเจ และไม่รู้จบ แต่ทว่าการมาถึงของสิ่งที่รอคอย ก็หาได้ช่วยปลดเปลื้องความเหลือทนทรมานให้สร่างซาบันเบาลงไปไม่ การมาถึงของรถโดยสารไม่ได้เป็นสายฝนอันชื่นใจที่สมค่าแก่การรอคอย (จะมีก็แต่เพียงน้ำที่หยดติ๋ง ๆ ออกจากเครื่องปรับอากาศบนรถมาเปียกรดทรมานผู้โดยสารอีกทีหนึ่ง)มันเป็นมหากาพย์ของความทุกข์อันยาวนาน ที่ทอดยาวตั้งแต่ชลบุรีถึงศรีสะเกษ และอันที่จริงก็ทอดยาวตั้งแต่เมื่อครั้งที่คนลาวถูกกวาดต้อนมา ทอดยาวมาตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ผ่านการรัฐประหารแย่งชิงอำนาจกันนับครั้งไม่ถ้วน โครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ที่ดูดกลืนชีวิตผู้คนเข้าไปหล่อเลี้ยงตัวมัน คายกากที่เหลือออกมาเป็นระบบขนส่งสาธารณะที่ไม่อาจพึ่งพาหรือไว้ใจอะไรได้ เป็นนรกสำหรับคนจนโดยแท้ มันไม่ใช่รสชาติของชีวิต แต่คือยาพิษที่ประเทศนี้จับกรอกปากให้การเดินทางอันแสนบัดซบ ล่าช้า และยืดยาวออกไป ไม่มีหลักประกันอันใดว่าในท้ายที่สุดแล้วการกัดฟันอดทนต่อความทุกข์จะมอบดอกผลหอมหวานให้ชื่นชม แม้มันจะเป็นตรรกะที่สามานย์ แต่สำหรับการรอคอยที่เลือกไม่ได้ ถ้าไม่ยึดมันไว้ การกัดฟันอดทนก็คงไม่มีความหมายอะไรผมนึกถึงชะตากรรมของซิซิฟัสที่ต้องกลิ้งเข็นก้อนหินมหึมาขึ้นลงเขาไม่รู้จบ ต่างแต่เพียงว่าสิ่งที่พวกเขา-ทั้งตัวละครในเรื่องและผู้คนในชีวิตจริง-ต้องแบกต้องขนไม่ใช่ก้อนหิน (โดยสภาพ) แต่คือกระเป๋าสัมภาระ กระสอบข้าวสาร และความหนักอึ้งของชีวิตที่ประเทศนี้ยัดใส่มือให้ ดูน้อยลง
Rudjanop Pitak18 reviews1 followerFollowFollowApril 5, 2022อ่านแล้วก็มหัศจรรย์ใจว่า เห้ย เรื่องราวพื้นบ้านอีสานเฮา ก็สามารถเอามาแต่งเป็นวรรณกรรมแนวสัจนิยมมหัศจรรย์สไตล์หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวหรือมูราคามิได้เหมือนกันแฮะ ไม่ว่าจะเป็น คนตายแล้วฟื้น วิญญาณตามติด พญาคันคาก ฉากเซ็กส์ที่ดูดดื่ม ประวัติศาสตร์เชิงลึกของการเมืองไทย ไล่ยาวตั้งแต่ช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง จนมาถึงหลังปฏิวัติรัฐประหาร 2549 ทางดัานของสัจนิยมก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ลองนึกภาพ��วามทรมานของการรออะไรที่มันไม่มาสักที และไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะมาตอนไหน อุกอั่งอี่งเอ้าคละเคล้าในอุรา แต่ก็ต้องรอ เพราะมันเป็นทางเดียวที่จะดำเนินชีวิตต่อไปได้ อีกอย่างคือความนิ่งของการเมืองไทย เลือกตั้ง ประชาธิปไตย ปฏิวัติ ยึดอำนาจ ประท้วง วนลูปไป แถมท้ายด้วยการตั้งข้อสงสัย ว่าทำไมหลายคนถึงได้ไว้ใจทหารให้ปกครองประเทศมากกว่านักการเมือง ชอบประโยคตอนท้ายของเรื่อง “แม้ว่าอีกไม่กี่สิบกิโลรถเมล์คันนี้จะถึงที่หมาย แต่เราไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลย ว่าต่อจากนี้ สิ่งใดจะเกิดขึ้นกับรถเมล์คันนี้ แล้วเราจะไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัยหรือไม่” มันแสดงถึงอะไร ใช่ความล้มเหลวหรือไม่ ?ให้เต็มร้อยไปเลยครับกับเรื่องนี้ ไม่ค่อยได้อ่านงานไทยบ่อยนัก แต่ยอมรับเลยว่ากว่าจะเขียนให้ลึกซึ้งได้ขนาดนี้ คุณนักเขียนท่านคงต้องทำการบ้านมาไม่น้อยเลยทีเดียว
Ae18 reviews11 followersFollowFollowOctober 25, 2016สำหรับคนที่อยากกลับบ้าน แต่กลัวว่าจะถึงบ้านเร็วเกินไป อ่านแล้วรู้สึกระคายเคือง
Jaylevelup11 reviews3 followersFollowFollowOctober 28, 2016กลิ่นแปลก รสชาติฝาดเป็นอาหารที่ไม่อร่อยแต่มีคุณค่าไม่น้อยสมเป็นภูกระดาษ