gam s (Haveyouread.bkk)516 reviews232 followersFollowFollowSeptember 9, 2024มหัศจรรย์ คือความรู้สึกที่ได้จากการอ่าน ลีลาการใช้ภาษาพิเศษมันสามารถนำพาเราลอยล่งเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวได้ตั้งแต่หน้าแรก นี่สิวะวรรณกรรม! พูดได้เต็มปากว่าเราชอบมากกกกก ชอบมากกว่าเจ้าการะเกดที่อ่านก่อนหน้านี้เสียอีก แดนอรัญเป็นคนที่ใช้ภาษาได้วิจิตรงดงาม พิศดารพันลึก แต่ในขณะเดียวกันก็ระห่ำ หยาบช้า บ้าคลั่ง ช่างกล้าที่จะเอาพุทธชาดกมาเล่าใหม่เป็น retelling ช่างกล้าที่เอาเรื่องแค่สองสามย่อหน้ามาขยายเป็นหนังสือทั้งเล่ม! มันคือเรื่องราวครั้นพุทธกาล ว่าด้วยชีวิตของนางกีสาโคตมี ที่พบความทุกข์แสนสาหัสจากการเสียลูก ถูกนำมาตีความในรสชาติใหม่ คือบีบคั้นมาก มันทุบตีหัวใจเรามาก อ่านแล้วมีความรู้สึกหลายหลายเอ่อท้นขึ้นมาในใจอย่างแรง ลื่นไหลแบบรวดเดียวจบ น้อยมากที่จะเจอนักเขียนที่ทำงานกับเราได้ในรูปแบบนี้อาจจะเพราะมันเป็นเรื่องของแม่ลูก 🥲 เราเลยอ่านไปร้องไห้ไป (ที่แปลว่าร้องจริงๆ น้ำตาหยดแหมะๆ) โดยเฉพาะฉากที่บรรยายถึงความสุขของนางกีสา ความยินดีที่เวฬุได้เกิดมา และสร้างความสวยงามในชีวิตน้อยๆที่ไร้ค่าของนางเป็นครั้งแรก เป็นสองหน้าที่โอบอุ้มความรู้สึกและความหมายหมื่นนับพันประการ นึกถึงภาษิตญี่ปุ่น อิจิโกะ อิจิเอะ การพบกันครั้งเดียว เวลาไม่ไหลย้อนกลับ 🥲 การได้ใช้เวลาร่วมกันอันแสนสั้นในวัฏสงสารที่หมุนวนชั่วกาลปวสาน คิดแล้วเจ็บปวดใจ จริงๆคือเกือบวางแล้ว เพราะมันโหดร้ายเกินเอาเป็นว่าอ่านเถอะนะ หนังสือของแดนอรัญมันไม่ใช่แค่การอ่าน แต่มันคือประสบการณ์ของ ณ ช่วงเวลานั้นที่เราได้อ่านด้วย ประทับใจ 🤟✨️ปล ตอนจบห้วนไปหน่อย ปรับตัวไม่ทัน
Attasit Sittidumrong157 reviews16 followersFollowFollowJune 21, 2025เรื่องนี้เป็นนิยายไทยที่อ่านแล้วก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าแดนอรัญนั้น "ขวา" จริงๆ ที่บอกว่าแดนอรัญ "ขวา" ไม่ใช่เพียงเพราะแกหยิบเอาเรื่องราวของพระแม่กีสาโคตมีภิกษุณีคนสำคัญในสมัยพุทธกาลมาดัดแปลงได้อย่างมีชีวิตชีวา หากแต่เพราะแก่นแกนของนิยายเองที่ขับเน้นที่ทางของพุทธศาสนาพร้อมๆกับสะท้อนทัศนะทางการเมืองออกมาโดยไม่ตั้งใจ ทัศนะซึ่งเริ่มต้นจากการจัดการกับปมเรื่องความทุกข์อันเป็นปัญหาที่พุทธศาสนามุ่งปะทะ โดยความทุกข์ที่แดนอรัญนำเสนอในนิยายนั้นไม่ใช่เรื่องของการยึดติด ยึดมั่นถือมั่นในการดำรงอยู่ของสรรพสิ่งมากเท่ากับการมีชีวิตอยู่ในโลกท่ามกลางสรรพสิ่งเหล่านั้นเอง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือสำหรับแดนอรัญแล้ว ความทุกข์ไม่ใช่เรื่องของชีวิตที่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง เพราะความทุกข์นั้นคือการดำรงอยู่ในโลกนี้ตั้งแต่ต้น จึงย่อมไม่มีชีวิตที่ปราศจากทุกข์ เพราะตัวชีวิตเองคือทุกข์ การมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ตั้งแต่ต้นจึงเป็นปัญหา การมีชีวิตอยู่ในโลกคือทุกข์ เรื่องราวในนิยายที่ว่าด้วยความทุกข์ของพระแม่กีสาโคตมีก่อนออกบวชคือหลักฐานบ่งบอกประเด็นดังกล่าวได้อย่างชัดเจนปฏิเสธไม่ได้ว่าแกนสำคัญของนิยายคือการบอกเล่าเรื่องราวความพยายามของนาง “กีสา” ในการช่วย ยื้อ และชุบชีวิต “เวฬุ” บุตรชายของตนผู้ถือกำหนดในฐานะทายาทของ "ไพที" มหาเศรษฐีผู้ครอบครองทรัพย์สินมหาศาลจากการขูดรีดชาวบ้านยากไร้ นางกีสานั้นก่อนที่จะแต่งงานกับไพทีก็มีสถานะเฉกเช่นเดียวกับผู้หญิงทุกคนในยุคนั้นคือเป็น “ทาส” ในเรือนของบิดา-มารดาผู้คอยออกคำสั่งต่างๆให้นางต้องคอยปฏิบัติโดยไม่สามารถโต้แย้งใดๆได้ ครั้นเมื่อแต่งงานออกเรือนไปกับไพทีทายาทหนุ่มรูปงามจากตระกูลมหาเศรษฐีของเมือง สถานะของนางก็ยิ่งต้องตกต่ำลงไปอีกในฐานะของหญิงสะใภ้ที่ต้องคอยรับฟังคำสั่งของผู้คนในบ้านทุกคนไม่ว่าจะเป็นสามี พ่อสามี แม่สามี น้องสามี จะเว้นก็แต่ก็เหล่าข้าทาสและบริวารรับใช้ภายในเรือนที่มีฐานะต้อยต่ำกว่าเท่านั้น ความทุกข์ของนางกีสาจึงเป็นความทุกข์ของการเกิดเป็นหญิงในสังคมพุทธกาล—หรือก็คือเป็นความทุกข์จากการที่ต้องมีชีวิตอยู่ในโลก— ความทุกข์ดังกล่าวยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีกเมื่อนางให้กำเนิดเวฬุบุตรชายซึ่งทำให้นางได้ลิ้มรสกับความสุขขึ้นเป็นครั้งแรกในชีวิตโดยหารู้ไม่ว่าความสุขนั้นแท้จริงแล้วหาใช่สิ่งที่ตรงข้ามกับความทุกข์หากแต่คือเงื่อนไขที่ทำให้ความทุกข์รุนแรงเท่าทบทวีในทันทีที่ตัวมันหายไป ยิ่งนางกีสามีความสุขมากเท่าใด นางก็ยิ่งเดินเข้าสู่กับดักของทุกข์มากเท่านั้น และเนื่องจากชีวิตบนโลกคือชีวิตที่วางอยู่บนความไม่ยั่งยืน การพลัดพรากจากความสุขจนนำไปสู่ความทุกข์อย่างรุนแรงก็ย่อมเป็นชะตาที่มิอาจหลีกเลี่ยงไปได้ ความตายของเวฬุผู้เป็นดั่งสัญญะความสุขของนางกีสาจึงมิเพียงแต่เป็นความตายของบุตรที่นางรัก แต่ยังเป็นความทุกข์ที่นางกีสาต้องเผชิญ ความทุกข์ซึ่งมิเพียงแต่ตอกย้ำว่านางได้สูญเสียบุตรไป หากยังนำพาเอาสถานะต่ำต้อยประหนึ่งทาสรับใช้ในเรือนสามีให้ย้อนกลับมาหานางอีกครั้งด้วยเหตุนี้ ทางออกจากความทุกข์ที่พุทธศาสนานำเสนอ—ตามที่แดนอรัญบรรยาย—จึงมิใช่แค่การปล่อยวางหรือไม่ยึดติดกับสรรพสิ่งต่างๆ แต่คือการละหรือถอนตัวออกจากโลกและชีวิตในโลก การละหรือถอนตัวซึ่งคงมิใช่แค่เรื่องของการตาย เพราะภายใต้คติแบบพุทธ การตายไม่เคยเป็นการหลุดพ้นจริงๆ การตาย—ตามคติแบบพุทธ—เป็นแค่การเปลี่ยนรูปจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่ง การตายไม่ได้นำมาสู่การหลุดพ้นหากแต่นำไปสู่การเกิดใหม่เพื่อเผชิญหน้ากับความทุกข์ก่อนจะตายเพื่อที่จะเกิดใหม่และเผชิญความทุกข์ครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้น ทางออกที่พุทธศาสนาในนิยายนำเสนอจึงเป็นเรื่องของการหลุดพ้นวงจรสังสารวัฏ การหลุดพ้นซึ่งเริ่มต้นด้วยการออกบวชถือเพศบรรพชิตอันเปรียบได้กับเป็นภาพจำลองของการละสังขาร ละรูปและถอนตัวออกจากโลก ถึงตรงนี้ จึงเป็นที่ชัดเจนว่าถ้าปัญหาของมนุษย์คือความทุกข์ และถ้าความทุกข์คือเงื่อนไขพื้นฐานของการใช้ชีวิตในโลก พุทธศาสนาในฐานะทางออกจากปัญหาดังกล่าวก็จะเป็นเรื่องของการละหรือถอนตัวออกจากโลก การละหรือถอนตัวซึ่งก็คือการละสังขารและไม่ย้อนกลับเข้ามาสู่โลกอันเต็มไปด้วยความทุกข์อีกครั้งและด้วยเนื้อหาที่มุ่งให้มนุษย์ละหรือถอนตัวออกจากโลกนี้เองที่กลับยืนยันถึงความเป็น “ขวา” ของพุทธศาสนาที่ถูกนำเสนอโดยแดนอรัญ (หรือถ้ากล่าวให้ชัดไปอีกก็คือว่าเนื้อหาดังกล่าวนั้นได้สะท้อนความเป็น “ขวา” ของแดนอรัญเอง) เพราะภายใต้คำสอนของพุทธศาสนาที่มุ่งตอกย้ำว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์และทางออกจากทุกข์คือการละจากโลกนั้น ย่อมนำมาซึ่งการปฏิเสธความเปลี่ยนแปลงต่างๆในทางการเมือง ดังที่นิยายเองก็ได้ชี้ให้เห็นถึงโครงสร้างความไม่เป็นธรรมทั้งในระดับของสังคมการเมือง(ผ่านฐานะการเป็นผู้ขู��รีดของนายไพทีและครอบครัว)และในระดับของพื้นที่ภายในครัวเรือนที่นางกีสา—ในฐานะลูกสาว/เมีย/แม่—มีสถานะไม่ต่างไปจากทาส ขณะที่แนวทางเดียวที่จะรับมือกับความไม่เป็นธรรมดังกล่าวกลับเป็นเรื่องของการละสังขารหรือละโลกดัวยการออกบวชแทนที่จะเปลี่ยนหรือสร้างโลกใหม่ให้เป็นธรรม พุทธศาสนาที่ถูกนำเสนอในนิยายด้วยน้ำเสียงประหนึ่งชื่นชมของแดนอรัญ จึงเป็นศาสนาที่มิได้มุ่งเปลี่ยนโลก แต่มุ่งเปลี่ยนตนเอง ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนโลกเพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตามมนุษย์ไม่สามารถหลุดพ้นออกจากความทุกข์ได้อยู่ดี การละหรือถอนตัวออกจากโลกตามคำสอนของพุทธศาสนาจึงเป็นการยืนยันว่าโลกนั้นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนให้ดีขึ้นไม่ได้ ไม่มีความจำเป็นต้องคิดถึงความก้าวหน้า การพัฒนา ความยุติธรรมหรือออกแบบสังคมการเมืองใดๆ เพราะไม่มีทางที่มนุษย์จะพ้นทุกข์ได้ตราบใดที่ยังอยู่ในและใช้ชีวิตในโลกใบนี้ โลกนี้มีวิถีและครรลองของมัน—หรือก็คือ—โลกนี้ไม่สามารถเยียวยาใดๆได้ จงเลิกคิดที่จะเปลี่ยนแปลงโลก และหันมาเปลี่ยนแปลงตนเองเสีย นั่นก็คือจงเลิกคิดที่จะสร้างโลกขึ้นมาใหม่แต่จงถอนตัว ละโลกและจำยอมกับความไม่เป็นธรรมในสังคมการเมืองซะภายใต้แง่มุมดังกล่าว การนำเสนอพุทธศาสนาของแดนอรัญด้วยน้ำเสียงที่ชื่นชมยกย่อง จึงเป็นการนำเสนอที่ตอกย้ำทัศนะของมาร์กที่ว่าศาสนาคือยาฝิ่นของชนชั้นปกครอง ศาสนาอาจคือทางออก แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ยาฝิ่นที่มุ่งให้ผู้คนยอมรับกับความไม่เป็นธรรมต่างๆด้วยมองว่านั่นคือวิถีของโลกที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงและทางออกเดียวก็คือการละทิ้งชีวิตและโลกนี้เสีย พุทธศาสนาของแดนอรัญคือพุทธศาสนาที่ลดทอนปมปัญหาทางการเมืองทุกอย่างให้จำกัดวงเป็นแค่ปัญหาส่วนบุคคลเท่านั้น พุทธศาสนาคือ the machine of depoliticization หรือจักรกลของการสลายความเป็นการเมือง ไม่มีการเมืองในศาสนา ปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ได้ที่ตัวบุคคล เพราะการเมืองเป็นเรื่องของความขัดแย้ง โต้แย้ง โต้เถียงภายใต้เป้าประสงค์ที่มุ่งให้โลกที่มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ดีขึ้น การเมืองจึงไม่เคยเป็นตัวแปรในสมการของพุทธศาสนาแบบแดนอรัญ การนำเสนอที่ทางของพุทธศาสนาของแดนอรัญจึงไม่ใช่อะไรเลยนอกจากการนำเสนอ “การเมือง” ของแดนอรัญซึ่งก็คือการเมืองของการปฏิเสธการเมืองหรือก็คือการเมืองของการกีดกันความเห็นต่างเพื่อธำรงรักษาโครงสร้างทางสังคมที่ไม่เป็นธรรมตลอดไป พุทธศาสนาที่แดนอรัญนำเสนอในฐานะของศาสนาที่ปฏิเสธโลกและการเมืองจึงอาจมิได้บ่งบอกความจริงของพุทธศาสนาเท่ากับเป็นภาพสะท้อนวิธีคิดที่ปฏิเสธการเมือง—ตลอดจนความเป็นไปได้ของการยกระดับสังคมการเมืองให้ดีขึ้น—ของแดนอรัญเอง ภาพสะท้อนที่บ่งบอกถึงภาวะสิ้นหวังที่แม้อาจตระหนักดีถึงความโหดร้ายของสังคมที่ไม่เป็นธรรมแต่ก็ไม่เชื่อในความเป็นไปได้ที่มนุษย์จะสถาปนาสังคมการเมืองที่เป็นธรรมได้ “เดียวดายใต้ฟ้าคลั่ง” จึงเป็นความเดียวดายที่สิ้นหวัง คือความเดียวดายของผู้แพ้ คือความเดียวดายของผู้ที่มองเห็นความชั่วร้ายต่างๆในโลกแต่ก็ไม่อาจจัดการอะไรกับความชั่วร้ายเหล่านั้นได้นอกเสียจากป่าวประกาศว่ามนุษย์นั้นอ่อนแอและทางเดียวที่พอจะทำได้คือการเบือนหน้าและลาจากโลกนี้ไปอย่างเดียวดายเท่านั้น.literature
Donakrap Dokrappom189 reviews31 followersFollowFollowApril 8, 2021เพิ่งเคยได้อ่านงานของแดนอรัญ แสงทองครั้งแรก เป็นประสบการณ์การอ่านที่พิลึกดี ดิบ ๆ อ่านได้เรื่อย ๆ ภาษาที่ใช้คือสุดจริง น่าจะเป็นเอกลักษณ์ของผู้เขียนหรือเปล่า ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่ากำลังอ่านร้อยแก้วหรือบทสวด ยังไงดีอธิบายไม่ถูก มันโหยหวน เนิบช้า ในขณะเดียวกันก็ตะกรุมตะกราม ถ่ายทอดเรื่องราวของตัวละครได้แบบน่าสังเวชสุด ๆ การดิ้นรน ความทุรนทุราย เป็นอะไรที่สุดตรีนมาก เสียอย่างเดียวตอนจบไม่รู้พี่แกจะรีบไปไหน พี่กลับมาก่อน!!!
Nuttawat Kalapat685 reviews48 followersFollowFollowFebruary 18, 2021โคตรชอบเลยครับ สุดจัดมาก 10/10ขึ้นแท่นนักเขียนไทย คนโปรด Top 3 ของผมเลยเพียงแค่อ่านเล่มเดียวเล่มนี้อารมณ์ เหมือนอ่าน สิทสารธะ ของ Herman hesse แต่ดิบกว่าเยอะสมบูรณ์ แบบ ตราตรึง ลื่นไหล..เล่มที่ 48/2021 (158)เดียวดายใต้ฟ้าคลั่งผู้เขียน: แดนอรัญ แสงทองสำนักพิมพ์: สามัญชนจำนวนหน้า: 120 หน้า ปกอ่อนพิมพ์เมื่อ: มีนาคม 2558..เพราะอะไรมันถึงดีเยี่ยมสำหรับข้าพเจ้า คือมันเป็นนิยาย ที่เล่าแบบรัวๆ แทบหายใจไม่ทันแบบ เพลงแร็พ ไม่มีย่อหน้า ไม่มีเครื่องหมายคำพูด พลิกไปหน้าเดียว เรื่องราวก็ย้ายความคิดเราไปอีกจุดแล้ว.เรื่องนี้สปอยได้ไม่เสียอรรถรส มันคือเรื่องราวเกี่ยวกับ ชีวิตอันบัดซบของพระนางกีสาโคตมี ที่สูญเสียลูกชายไป ก่อนมาพบเจอกับ พระพุทธเจ้า นั่นเอง.การผจญภัย ความทุกข์ สัจธรรม ความบันเทิง ข้อคิด คุณภาพ ครบครันครับแนะนำ แนะนำ.."การได้พบกับสิ่งที่ไม่น่ารักใคร่ ไม่น่าพอใจ ก็เป็นทุกข์การต้องพลัดพรากจากสิ่งที่น่ารักใคร่ น่าพอใจ ก็เป็นทุกข์ .ความเห็น- ผู้เขียนต้องอินกับพุทธประวัติมาก ถึงจะเขีบนออกมาดีอย่างนี้ได้.10/10
Suwitcha ChandhornAuthor 15 books90 followersFollowFollowSeptember 11, 2023ไม่ได้ให้ดาวเล่มนี้ เพราะภาษาดีเหลือเกิน แต่เรื่องราวก็ยืดจนอ่านยากเหลือเกินเช่นกัน ในแง่เนื้อเรื่องสามารถเล่าจบได้ในหน้าสองหน้า หรือสั้นกว่านั้น แต่ในแง่ภาษาประดิษฐ์ถ้อยคำได้งดงาม มีคำสวยๆ ให้เรียนรู้เก็บศัพท์ไปตลอดเรื่อง :)
Sak7 reviewsFollowFollowAugust 4, 2017ภาษาที่ใช้เขียน บรรยายภาพเหตุการณ์ได้อย่างดีมาก เป็นการร้อยเรียง ขยายความเหตุการณ์ในสมัยพุทธการได้อย่างไม่น่าเชื่อ จากข้อความเพียงไม่กี่ประโยคจากพระไตรปิฏก สามารถบรรยายบรรยากาศ สภาพบ้านเมือง สมัยพุทธการ ที่เป็นภาพของความเป็นจริง ได้เป็นอย่างดี เนื้อหาสนุกชวนติดตามตั้งแต่ต้นเรื่องจนกระทั่งจบ
Klin กลินท์230 reviews15 followersFollowFollowMay 18, 2020#เดียวดายใต้ฟ้าคลั่ง ของ แดนอรัญ แสงทอง เหมือนต้องมนต์สะกดไปกับการเดินทางของพระแม่กีสาโคตมีแห่งสมัยพุทธกาล ที่เร้าอารมณ์ ตะลึง พรึงเพริด คลั่ง เดียวดาย เปลี่ยวเหงาในระหว่างความเป็นแม่ที่อยู่เหนือทุกสิ่งเพื่อช่วยชีวิตลูกของตน หรือ กับความกลัวการกลับไปสู่ฐานะความเป็นทาสอีก ทุกหนแห่งตำบล ป่าเขาลำเนาบึงไพรพรั่งพรู่เหมือนตัวเรานั่งมองดูอยู่ ณ ที่ใดสักหนึ่งแห่งที่และไม่รู้ว่าการเดินทางจะสิ้นสุดลงอย่างไรไปจดจนหน้าสุดท้าย โดยเฉพาะการตกผลึกของการเดินทางภายในจิตใจ"การได้พบกับสิ่งที่ไม่น่ารักใคร่ ไม่น่าพอใจ ก็เป็นทุกข์ การต้องพลัดพรากจากสิ่งที่น่ารักใคร่ น่าพอใจ ก็เป็นทุกข์ แม่อยากให้เจ้าไตร่ตรองใคร่ครวญถึงเรื่องนี้ดู พระบรมศาสดาของแม่มีปรกติตรัสเช่นนี้เสมอ" พระแม่ปฏาจาราพูดกับนางกีสาโคตมีเป็นอีกหนึ่งเล่มที่ทำให้ต้องทำความรู้จักค้นหา #แดนอรัญแสงทอง ในงานเขียนเล่มอื่นๆต่อไปครับลองหาอ่านกันครับ #ณอ่านTheReaderTheKlinLibrary ณ อ่าน The Reader- The Klin Library
Peggy Gourton10 reviews10 followersFollowFollowMarch 17, 2021เดียวดายใต้ฟ้าคลั่ง — แดนอรัญ แสงทองเรื่องเล่าคุ้นเคยที่ต่อให้ไม่ได้เรียนในคาบพระพุทธก็ต้องมีอาจารย์ที่ชอบปฏิบัติธรรมซักคนเล่าให้ฟัง เนื้อเรื่องไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ แต่ประทับใจวิธีการเล่าเรื่องและสร้างบรรยากาศสมัยนู้นมากกว่า คนเขียนเล่าแบบแรพร่ายยาวหาย่อหน้าวรรคตอนไม่เจอ (เมาหัวคล้าย ๆ 100 ปีแห่งความโดดเดี่ยว) พูดถึงความไฝว้สุดชีวิตของมนุษย์แม่ที่ยื้อชีวิตลูกชายสุดกำลัง บุกป่าฝ่าดงแบบไม่สนชีวิตตัวเองที่น่าสนใจคือพล็อตเดิมเป๊ะ ฟังมาตั้งแต่ประถม แต่เล่มนี้ชวนเราตั้งคำถามต่อจากอะไรแบน ๆ ที่เคยรับรู้ว่านางทำทุกอย่างด้วยความรักของคนเป็นแม่… เท่านั้นหรือ ความรักของแม่ที่เชื่อกันว่าเป็นความรักอันบริสุทธิ์ที่สุดของมนุษย์ ทำไมมันนำพานางสู่ความทุรนทุรายร้อนรน จนกระทั่งฟูมฟายได้ขนาดนั้น หรือความทุรนทุรายที่ว่าส่วนหนึ่งมาจากความกลัวที่จะต้องกลับไปเป็นนางทาส ถูกลิดรอนความหรูหราประดามีที่เคยได้รับเมื่อมีตำแหน่ง “แม่ของลูกชาย” แต่คนเขียนก็ไม่ได้สรุปไว้น่ะนะThis entire review has been hidden because of spoilers.
Punyatat Simapaisan13 reviews2 followersFollowFollowFebruary 8, 2025เป็นที่เล่มโชว์ลีลาภาษาล้วนๆลุ่นๆกรุคำศัพท์ในหัวแกกับจำนวนแบคทีเรียในร่างกายกรุ นี่อะไรเยอะกว่ากัน?ถ้าเทียบกับเล่มอื่นก็จะด้อยกว่าตรงที่เรื่องนี้ไม่พล้อตเรื่องห่าเหวอะไรเลย แล้วก็พอเราเป็นพุทธด้วยตอนจบก็เลยเบื่อๆแต่ก็นั่นแหละความเจ๋งคือเรื่องไม่มีพล้อตแต่ทำให้อ่านได้จนจบอะ คิดดู ภาษาล้วนๆอ่านทั้งเล่มนี่คือไม่ได้ติดตามเลยว่าเรื่องจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ติดตามแค่ว่าภาษา คำ มันจะทะลุออกจากหน้ากระดาษเมื่อไหร่ แค่นั้น55
Afp Achitaphon13 reviews4 followersFollowFollowApril 6, 2018เป็นงานวรรณกรรมตามมาตรฐานของ แดนอรัญ แสงทอง เดียวดายใต้ฟ้าคลั่งนวนิยายขนาดสั้นที่มีท่วงท่าลีลาเด็ดขาด เป็นหนังสือที่เชื่อมต่อกับผู้อ่านและสร้างจินตนาการ บรรยากาศ กลิ่น ความตกตะลึงในชะตากรรม และที่สำคัญคือ เสียง ที่บรรยายได้อย่างยอดเยี่ยมอ่านแล้วจินตนาการถึงการได้ยินซึ่งเป็นความพิเศษอย่างหนึ่งของนวนิยายเรื่องนี้ ส่วนการดัดแปลงนั้นก็ทำได้อย่างกลมกล่อมเสริมเพื่อนัยยะและความร่วมสมัยได้อย่างดี
Pokpong Lawansiri20 reviews6 followersFollowFollowJanuary 6, 2021เป็นหนังสือเล่มแรกของแดนอรัญ แสงทองที่ผมได้อ่าน หนังสือเล่มนี้เล่าถึงชีวิตของแม่นางกีสา ตัวละครในสมัยพุทธกาลได้อย่างน่าสนใจแดนอรัญมีเอกลักษณ์การใช้คำที่สวยงาม แต่ไม่ได้ใช้อย่างเยิ่นเย้อเกินไปโดยไม่มีความจำเป็น มีการศึกษาค้นคว้าสถานการณ์ สถานะของผู้หญิง และภิกษณีช่วงสมัยนั้นอย่างดี สมกับเข้ารอบสุดท้ายวรรณกรรมซีไรต์ปี 2555้เป็นวรรณกรรมที่สั้นแต่ลึกซึ้ง ผมอ่านวันเดียวจบ
Gailsarchive1 reviewFollowFollowMarch 20, 2023extended version ของเรื่องพระกีสาโคตมีเถรีจากอรรถกถา คนอินวรรณกรรมพุทธศาสนาจะอินกับเรื่องนี้สุด ๆ เพราะแดนอรัญทั้งเก็บ sense ของอรรถกถาและสอดแทรกความเป็นตัวเองในสำนวนที่ใช้ เชื่อมได้ทั้งประเด็นความหลุดพ้น สามีภรรยา วรรณะ และความเป็นแม่ได้อย่างชัดเจน
Koy SParachatri27 reviews5 followersFollowFollowDecember 2, 2018"การได้พบกับสิ่งที่ไม่น่ารักใคร่ ไม่น่าพอใจ ก็เป็นทุกข์การต้องพลัดพรากจากสิ่งที่น่ารักใคร่ น่าพอใจ ก็เป็นทุกข์ "literature
Dheerapol154 reviews45 followersFollowFollowMay 12, 2015เอาเรื่องราวสมัยพุทธกาลมาเรียบเรียงตีความใหม่ สำนวนชวนอ่านให้วางไม่ลง แต่รู้สึกช่วงท้ายจะห้วนไปหน่อยไม่เหมือนกับที่ดึงเรื่องราวมาตั้งนาน 2015
Em17 reviews2 followersFollowFollowJune 23, 2015เรื่องราวความลําบากของพระแม่กีสาโคตมีในสมัยพระพุทธกาล