Wannida125 reviews49 followersFollowFollowDecember 17, 2016หยิบเล่มนี้มาอ่านเพราะเพื่อนที่รักมากคนหนึ่งบอกว่าอ่านเล่มนี้แล้วอยากทำหนังสือร่วมกับเรา เราตอบรับด้วยรอยยิ้ม และแอบไปเอาหนังสือเล่มนี้มาอ่านเงียบๆอาจด้วยวัยใกล้เคียงกับคนเขียน เลยทำให้เราอินได้ไม่ยาก เช่นว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ และเราจะทำอะไรกับชีวิตข้างหน้า และที่สำคัญ ตัวเราเองก็อยากไปเรียนต่อเช่นกัน แต่ก็ติดขัดด้วยปัจจัยหลายอย่าง อย่างที่พวงสร้อยบอก "ความฝันต้องมีทุน" เราอ่านจบตอนอยู่บนเครื่องนกแอร์ บินจากอุดรกลับกรุงเทพ พลางพยายามจินตนาการว่าการนั่งเครื่อง 17 ชม จากไทยไปนิวยอร์คจะเป็นอย่างไร เพื่อนสนิทเรากำลังจะบินไปนิวยอร์คเที่ยงคืนวันนี้เป็นเพื่อนสนิทคนแรกที่เรากำลังจะไปส่งที่สนามบินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราควรจะไปด้วยความรู้สึกแบบไหนดีดีใจด้วย เธอทำสำเร็จไปขั้นนึงแล้วนะใจหาย ไม่เจอกันอีกตั้งนานแน่ะคิดถึง เรา keep in touch คนไม่ค่อยเก่ง แต่กับเธอเราจะพยายามและอย่างที่เธอแนะนำหนังสือเล่มนี้ให้เรา เรามาทำหนังสือร่วมกันเถอะ เรารอเรื่องเล่าสนุกๆ หรือจะเคล้าน้ำตาเราก็ยินดีปลอบนะ ฮ่าๆทุกเรื่องจากเธอ เรารอฟังทั้งนั้นแหละกลับมาที่หนังสือ My best friend is me เราอ่านไปด้วยความอินผสมความอิจฉา (นิสัยไม่ดีแฮะ) เพราะเราเอง ก็มีความฝันที่ต้องลงทุนเหมือนกันเพียงแต่เรายังหาทุนไม่เจอ (ฮา)บรรยากาศในเล่มหม่นๆ เทาๆ เหงาๆ พวงสร้อยใช้วิธีการเล่าง่ายๆ แต่กินใจ และสำนวนภาษาในเรื่องก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนเพื่อนกำลังเล่าเรื่องให้ฟังและเราก็รับฟังด้วยความยินดี หลายบทในเรื่องไม่มีคำตอบตายตัว เหมือนพวงสร้อยเองก็พยายามหาคำตอบเช่นกัน ในบ้านเมืองที่ปากท้องยังอดอยาก เรียนศิลปะแล้วกลับไทยไปทำอะไร? ความฝันยังมีที่ทางของมันอีกไหม ในบ้านเมืองที่แม้แต่คิดต่างยังผิด? เราทำอะไรได้มากกว่าการพิมพ์แสดงความคิดเห็น บ่นในสถานะเฟสบุ๊คบ้าง?ไม่มีคำตอบ...ทั้งพวงสร้อยและตัวเราแต่ก็อย่างที่พวงสร้อยบอก สิ่งที่พอจะทำได้คือการหาพื้นที่ของเราเอง ที่พอหายใจสะดวกและสูดหายใจได้เต็มปอด บทบาทที่เราพอใจแต่ก็นั่นแหละใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายก็หวังว่ามันคงไม่ยากเกินไปread-in-2016
Minddahed23 reviews10 followersFollowFollowJune 15, 2016เราว่าเราชอบกลิ่นความทึมๆ แบบจังหวะตัดหนังที่เขาเล่ามาตามบริบท สำรวจชีวิตและความเป็นไปของอารมณ์กับการเปลี่ยนแปลงของชีวิตในแต่ละการก้าวเดิน มันเชื่อมโยงกับเราตรงที่ว่า เออ เรามีสิทธิที่จะไม่ฟิตกับสังคมที่เราคิดว่ามันเอเลี่ยนพอประมาณ และแปลกแยกในพื้นที่ที่คนอื่นเขาดูจะเข้าใจกันไปหมด ถึงแม้ว่าเราไปเพื่อแสวงหา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเจออะไรที่หวานต่อสายตาเสมอไปประสบการณ์ในพื้นที่ใหม่และการเรียนมันดีงามแต่มันก็เส็งเคร็งนะ บางครั้งพบตัวเองดูแกนๆ ขาดๆ หายๆ ไปในบบทเรียนนั้นแหละ บางสิ่งที่ิคิดว่าง่ายมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ภาษาแปลได้อีกอย่างว่าความเหงาถ้าเราไม่เข้าใจ แล้วจะเป็นเพื่อนกับใครได้นอกจากตัวเอง
Tiabtawan Limjittrakorn121 reviews33 followersFollowFollowApril 23, 2016หนังสือชีวิตของน้องโรสในเยอรมันโรสเขียนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับชีวิตตัวเองในแต่ละช่วงที่อยู่ที่นั่น เหมือนเขียนบทหนังมีจุดเริ่มต้นที่พาไปหาปมหลายๆ แบบที่เจอ (มีหลายปมเลย)แล้วพาคนอ่านไปคลี่คลายกับปมที่ผูกไว้ในตอนจบอ่านแล้วเหมือนดูหนังชีวิตของเด็กไทยหัวดำคนนึง ที่ไปใช้ชีวิตต่างบ้านต่างเมืองคนอ่านจะคอยเอาใจช่วยว่ามันจะผ่านปม กำแพงของวัฒนธรรม ที่มันเจอได้ยังไงที่ดีที่สุดคือความช่างสังเกตของโรสที่มีให้เห็นตลอดในหนังสือเขียนอีก อยากอ่าน สู้เค้าพวงสร้อย
Thanawat439 reviewsFollowFollowAugust 13, 2020“คนเราต้องมีบ้านให้กลับ”หนังสือบันทึกประสบการณ์การใช้ชีวิตในประเทศเยอรมันในฐานะนักศึกษา ที่เขียนออกมาในสไตล์ไดอารี่ผสมๆ กับสารคดีแบบจางๆผู้เขียนถ่ายทอดประสบการณ์โดยเน้นอารมณ์ความรู้สึกของคนที่เดินทางออกไปเผชิญโลกภายนอกด้วยตัวคนเดียว ด้วยความที่ตัวคนเดียวนี่แหละ เลยออกมาในโทนทึมๆ ประกอบไปกับบรรยากาศของเมืองอย่างเบอร์เลินและเบรเมน ที่อัดแน่นไปด้วยประวัติศาสตร์เลยทำให้วันที่แม้จะท้องฟ้าสดใส ก็ยังอ่านแล้วรู้สึกเหมือนมี filter หม่นๆ มาปิดทับอยู่ดีในส่วนที่บรรยายชีวิตในเยอรมัน เขียนออกมาได้เห็นภาพ แม้จะไม่ได้ลงลึกแบบวันต่อวัน แต่ก็มองเห็นภาพใหญ่ของชีวิตนักศึกษาต่างชาติ ชีวิตความเป็นอยู่แบบที่ “คนนอก” อย่างผู้เขียนเผชิญ ท้ายที่สุดสถานการณ์ก็บังคับให้ปรับตัวเป็น “คนใน” ในระดับนึงจนได้ผมคิดว่าเนื้อหาส่วนเล็กๆ ที่เล่าถึงประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกที่มันฝังอยู่ ผู้เขียนเล่าออกมาได้ดีนะ มันบ่งบอกเลยว่าแม้สงครามจะผ่านมานานและไกลตัวขนาดไหน มันก็ยังสะเทือนเข้าไปในใจได้อยู่ดีเปิดเล่มด้วยการตัดสินใจเดินทาง แรงจูงใจ และการตัดสินใจและก็ปิดเล่มด้วยการตัดสินใจ แรงจูงใจ และการตัดสินใจ แต่ในฐานะที่เติบโตมากขึ้นแนะนำเลยสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจในฐานะ “คนนอก” ที่กำลังจะออกไปเป็น “คนใน” ในเมืองอื่นหรือประเทศอื่นนี่คือความเหงาระดับที่คุณมีโอกาสจะต้องเผชิญnon-fiction
Seamonkey179 reviews38 followersFollowFollowJuly 19, 2019เหมือนไม่คลี่คลายความรู้สึก ทั้งกับตัวเองและกับคนอื่น ไม่รู้ว่าคอนเซ็ปต์ของหนังสือคือ "คนนอก" หรืออย่างไร เพราะอ่านไปก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนบันทึกประจำวัน เหมือนไดอารี่ที่จดไว้แล้วเอามาขยายความเพิ่ม เติมรายละเอียดเข้าไป คนอ่านจะได้เข้าใจ แม้จะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็ตามเหมือนจะมีความเศร้าปกคลุมอยู่จางๆ ในแต่ละบทที่เรื่องราวเหมือนจะต่อเนื่องแต่กลับมีความกระจัดกระจายและดูเบาบางเกินไป ยิ่งบทท้ายๆ เหมือนถูกตัดจบยังไงไม่รู้ บางบทก็เวิ่นเว้อเหมือนหนังสือแนวเวิ่นเว้อของสปริงบุ๊คส์ บางบทก็เหมือนเรื่องสั้นที่อ่านแล้วไม่เคลียร์เหมือนชื่อหนังสือนั่นล่ะ มันบอกได้ทุกสิ่งอยู่แล้วแหละที่ว่า my best friend is me2019
ดินสอ สีไม้1,070 reviews178 followersFollowFollowAugust 10, 2020บอกเล่าประสบการณ์การไปเรียนต่อปริญญาโท ในเยอรมันเล่าเรื่องคล้ายสมุดบันทึก เป็นการคุยก��บตัวเองสำนวนห้วนกระชับ เหมือน status ใน facebookแต่พอเราเริ่มชินกับภาษาห้วนๆ นั้นแล้วก็รู้สึกว่ามีความน่ารักซ่อนอยู่เหมือนกันห่างเหินนิดๆ เป็นมิตรหน่อยๆ2020 thai
Nuttawat Kalapat685 reviews48 followersFollowFollowMarch 17, 2021ไปเที่ยวเยอรมันกันครับ อ่านแล้วคงได้รู้ มากกว่า แค่เยอรมัน มีเบียร์ และ อดีตผู้นำที่โหดอะนะ.เล่มที่ 80/2021 (189) หนังสือ : MY BEST FRIEND IS MEโดย : พวงสร้อย อักษรสว่างจำนวน : 272 หน้า.ถ้าคุณอ่านประสบการณ์ไปเที่ยวของคนเรียน วิทย์ คนเรียนสังคม คนเรียน ศิลป์ คุณจะเลอการมองโลก และ เรื่องเล่ามุมมองไม่เหมือนกันเลยล่ะ ซึ่งอันนี้คือสเห่น์ก็ว่าได้.ในช่วงที่ไปไหนไม่ได้แบบนี้ หนังสือประสบการณ์ลุยต่างแดน มันก็ตอบโจทย์ดีนะ.เรื่องราวทั้งหมด เป็นชีวิตการไปเรียนต่อที่เยอรมันของ พวงสร้อย อักษรสว่าง โดยผู้เขียนเขียนเอง และ เขาไปเรียนทางด้านศิลปะ โดยเมืองหลักๆในเรื่อง ก้จะมี เบอร์ลิน เบรเมน .สิ่งที่ชอบคือผู้เขียนเล่าเรื่องศิลปะ เเนะ เรื่องงานของมนุษย์ทั่วโลกที่หลากหลาย ตัวตนและแนวคิดของฝรั่งมังค่า ช่วงปิดท้ายเล่ม ผู้เขียนก็ไปสตอกโฮมล์.ความรู้สึกเหมือนอ่านบันทึกส่วนตัวที่เขียนเอาตามอารมณ์ ซึ่งเราสามารถจับได้เลยว่า ตอนนี้รู้สึกดีอยู่ ตอนนี้เครียดอยู่ .การบรรยายบรรยากาศบ้านเมืองของผู้เขียนตรงไปตรงมามากๆ ครับ ชอบๆ .ร้อยทั้งร้อยการไปเมืองนอก คือการออกจาก comfort zone แต่ส่วนตัวก็รู้สึกอิจฉา มนุษย์ ที่ไปต่างแดนแล้วสามารถเก็บรายละเอียดชีวิต เรื่องนั้นไว้ได้ดยการบันทึก ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย หรือ ข้อความ.ให้ 8.5/10 อ่านจบแล้ว รู้เลยครับว่า ภาษาเยอรมันคงยากจริงๆ 55
REMEMI3ER195 reviews12 followersFollowFollowJuly 5, 2019ชอบภาษาเขียนของพี่พวงสร้อยจัง มันดูเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์ และความรู้สึก เป็น perspective อีกเล่มที่เราชอบ ได้มุมมองดีดี ได้รู้ว่าสุดท้ายการรู้ว่าตัวเองชอบอะไรและตัดสินใจเปลี่ยน ก็นับเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่กล้าหาญ ชอบคำพูดนึงที่พี่โรสเขียนไว้ว่า "เรามักถูกสอนให้เชื่อว่าเราเลือกได้ จริงๆก็ถูก แต่เราต้องไม่ลืมว่า การเลือกได้เท่ากับเราต้องถูกเลือกด้วย"2017
Arachaporn Pokinpakorn12 reviews210 followersFollowFollowMay 14, 2017ภาษาที่ใช้ทำให้เรานึกถึงผู้หญิงดิบๆ คุยง่าย จริงใจ และ ตลกในทางของเขา ไม่เคยเจอตัวจริงแต่ชอบวิธีการเล่าเรื่อง เหมือนกับบทหนัง แต่ที่สำคัญที่สุด มันทำให้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เขาโคตรยอมรับตัวเอง โอเคตอนนี้ห่วย ตอนนี้อ่อนแอ ตอนนี้เก่ง เราเลยตามเขาไปได้เรื่อยๆจนจบในเวลาอันสั้น
janeny ไก่บิน183 reviews3 followersFollowFollowJanuary 11, 2024มีดีในแบบของ เรา ความฝันนั้นต้องพยายาม แล้วเอาไงต่อ ต้องลองไปอ่านดู
SIRINDHORN 85 reviews1 followerFollowFollowDecember 6, 2020และแล้วก็อ่านบันทึกประสบการณ์นักเรียนไทยในเยอรมันจบไปอีกหนึ่งเล่ม เราเองก่อนอ่านมีประสบการณ์ร่วมอยู่มากกว่า 50% เพราะเราก็ใช้ชีวิตอยู่นอกประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน นักเขียนสอบได้ทุนมาเรียนในต่างแดนแบบเริ่มต้นยังหาตนเองไม่พบว่าจริงๆแล้วตนเองต้องการจะเรียนรู้อะไรกันแน่ แต่ด้วยปราการอุปสรรคเรื่องของภาษาเป็นจุดทำให้ต้องเรียนในสาขาวิชาที่ไม่ใช่ความถนัดในเริ่มแรก แต่ยังดีที่รู้ตัวเอาเมื่อครึ่งทาง สิ่งที่อาจารย์ในคลาสประวัติศาสตร์นิทรรศการให้คำแนะนำว่าอะไรก็ได้ ดูเหมือนจะทำให้เราย้อนไปนึกถึงรากฐานการถูกสอนมาจากระบบการศึกษาในบ้านเราที่ไม่เอื้ออำนวยให้เรามีความคิดริเริ่มเป็นของตนเองสักเท่าไหร่ นักเรียนไทยในคลาสต่างแดนจึงเป็นนักเรียนประเภทนั่งฟังเงียบๆอยู่หลังห้องเสียส่วนใหญ่ (เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นตอนเริ่มเรียนภาษาเยอรมัน และไม่มีใครยอมรับให้เราสื่อสารภาษาอื่นนอกจากเยอรมัน)เราว่าหนังสือจบแบบห้วนเกินไป น่าจะเขียนต่ออีกสักนิดเมื่อย้ายมาเรียนสาขาตามความถนัดในเมืองใหม่แล้ว แต่หนังสือก็บอกเราไม่น้อยเกี่ยวกับการใช้ชีวิตคนเจนนี้ในเมืองอันดับต้นๆในยุโรป กว่าจะถึงวันนี้นักเขียนคงได้คำตอบให้กับตัวเองแล้วว่า “คิดหรือยัง กลับไปจะทำอะไร”
aida320 reviews22 followersFollowFollowAugust 17, 2016(3.5) ชอบหลายๆ บท โดยเฉพาะช่วงแรกจนถึงค่อนไปท้ายเล่ม ที่เล่าถึงความเหงา และที่เล่าถึงแรงกดดันต่างๆ อ่านแล้วได้พลังดี ชอบจนค่อยๆ อ่านวันละบท กลัวจบเร็วคนอื่นอาจจะอินแหละ แต่ไม่รู้ทำไมเราเข้าไม่ถึงบทท้ายๆ เลยจบเล่มนี้ไปแบบกร่อยนิดนึง