Jump to ratings and reviews
Rate this book

Ideas in Context

Toleration in Conflict

Rate this book
The concept of toleration plays a central role in pluralistic societies. It designates a stance which permits conflicts over beliefs and practices to persist while at the same time defusing them, because it is based on reasons for coexistence in conflict – that is, in continuing dissension. A critical examination of the concept makes clear, however, that its content and evaluation are profoundly contested matters and thus that the concept itself stands in conflict. For some, toleration was and is an expression of mutual respect in spite of far-reaching differences, for others, a condescending, potentially repressive attitude and practice. Rainer Forst analyses these conflicts by reconstructing the philosophical and political discourse of toleration since antiquity. He demonstrates the diversity of the justifications and practices of toleration from the Stoics and early Christians to the present day and develops a systematic theory which he tests in discussions of contemporary conflicts over toleration.

662 pages, Paperback

First published December 11, 2012

3 people are currently reading
69 people want to read

About the author

Rainer Forst

23 books14 followers
Rainer Forst is a German philosopher and political theorist, and was called the "most important political philosopher of his generation" in 2012, when he won the Gottfried Wilhelm Leibniz Prize.

Ratings & Reviews

What do you think?
Rate this book

Friends & Following

Create a free account to discover what your friends think of this book!

Community Reviews

5 stars
6 (46%)
4 stars
4 (30%)
3 stars
2 (15%)
2 stars
0 (0%)
1 star
1 (7%)
Displaying 1 of 1 review
Profile Image for Attasit Sittidumrong.
157 reviews15 followers
August 8, 2023
ผู้เขียนเสนอว่า ความอดกลั้นมิใช่คุณค่าที่เพิ่งเกิดขึ้นจากการขยายตัวของเสรีภาพในการนับถือศาสนาในช่วง ค.ศ.ที่15 แต่เป็นหลักปฏิบัติที่ดำรงอยู่ในภูมิปัญญาโบราณตั้งแต่ในหลักปรัชญาสโตอิกไล่ไปจนถึงการเป็นเนื้อหาหนึ่งในข้อถกเถียงทางศาสนาของเหล่านักเทววิทยาคริสเตียนในยุคกลาง ดังนั้น แม้อาจเป็นวิวัฒนาการภายใต้อิทธิพลของคริสต์ศาสนา แต่ฐานรากอันแท้จริงที่รองรับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของความอดกลั้นกลับมิได้เกี่ยวข้องกับศาสนาหรือความเชื่อในการดำรงอยู่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า หากแต่จะตั้งอยู่บนการผนวกผสานของกระบวนการทำให้เป็นเหตุเป็นผล(Rationalization) สองระดับอันได้แก่ กระบวนการทำอำนาจของผู้ปกครองให้เป็นเหตุเป็นผล หรือ Rationalization of Power และ กระบวนการทำศีลธรรมและการเข้าถึงชีวิตที่ดีให้อยู่บนหลักเหตุและผล หรือ Rationalization of Morality ซึ่งผู้เขียนเห็นว่ากระบวนการทำให้เป็นเหตุเป็นผลทั้งสองระดับนี้คือภาพสะท้อนวิวัฒนาการของเหตุผลในหน้าประวัติศาสตร์กว่าพันปีที่เป้าหมายปลายทางสูงสุดคือการยกระดับสถานะและศักดิ์ศรีของมนุษย์ในฐานะแหล่งสถิตย์ความชอบธรรมเพียงแหล่งเดียว ทั้งในส่วนของการใช้อำนาจทางการเมืองและในส่วนของการกำหนดแบบแผนความสัมพันธ์ทางจริยศาสตร์ระหว่างผู้คนในสังคมการเมืองหนึ่งๆ ด้วยถือว่ามนุษย์คือตัวตนทางศีลธรรมที่สามารถเข้าถึงและใช้เหตุผลได้อย่างอิสระแท้จริง

ด้วยเหตุนี้ พัฒนาการของคุณค่าและหลักปฏิบัติเรื่องความอดกลั้นจึงเป็นภาพสะท้อนถึงพัฒนาการของมนุษย์ชาติในการยกระดับความสามารถในการใช้เหตุใช้ผลของตนจนทำให้เหตุผลโดยตัวมันเอง—หาใช่ความเชื่อต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า—กลายเป็นฐานรากของการอยู่ร่วมกันตลอดจนการใช้อำนาจทางการเมืองอย่างชอบธรรม ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากผลของวิวัฒนาการตามวงศาวิทยาดังกล่าว ความอดกลั้นอันแท้จริงจึงไม่ใช่เรื่องของการผสานวัฒนธรรมที่คนส่วนใหญ่อดกลั้นต่อการดำรงอยู่ของคนส่วนน้อย(บนข้อแม้ว่าคนส่วนน้อยต้องละทิ้งวัฒนธรรมความเชื่อของตนแล้วสมานลักษณ์เข้าสู่วัฒนธรรมของคนส่วนใหญ่—ซึ่งยังคงเป็นวิธีคิดภายใต้อิทธิพลของคริสต์ศาสนา) แต่คือการเคารพซึ่งกันและกันในจุดยืนความคิดที่อีกฝ่ายหนึ่งยึดถือแม้ว่าจุดยืนและความคิดดังกล่าวอาจเป็นสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่สามารถเห็นพ้อง คล้อยตามและเข้าใจได้อย่างแท้จริง โดยการเคารพซึ่งกันและกันนี้จะตั้งอยู่บนลักษณะในเหตุผลของมนุษย์ที่ด้านหนึ่งอาจสมบูรณ์แบบภายใต้กำกับของเหตุผลเชิงปฏิบัติ(practical reason) บนการตระหนักถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในฐานะตัวตนทางศีลธรรมที่สามารถปฏิบัติตามกฎศีลธรรมได้อย่างสมบูรณ์ แต่ขณะเดียวกันก็มีลักษณะจำกัด (finitude) อันเนื่องมาจากขีดจำกัดทางญาณวิทยาที่มนุษย์จะถูกกำกับผ่านพื้นที่และเวลาในขณะใช้เหตุผลเสมอ จนทำให้มนุษย์แต่ละคน—แม้อาจเข้าถึงกฎศีลธรรมและเป็นตัวตนทางศีลธรรมอันสมบูรณ์—ต่างก็ไม่สามารถกล่าวอ้างได้ว่าการใช้เหตุผลของตนเป็นการใช้เหตุผลที่สมบูรณ์แท้จริงสามารถแทนการใช้เหตุผลของมนุษย์คนอื่นผู้อยู่ในพื้นที่และเวลาที่ต่างกันได้ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองจึงกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนความแตกต่างของการใช้เหตุผลบนข้อเท็จจริงที่ว่าแม้แต่ละฝ่ายอาจมีเหตุผลของตน แต่เหตุผลดังว่านี้ก็จะถูกกำกับผ่านข้อจำกัดทางญาณวิทยาของแต่ละฝ่ายเสมอ

ด้วยเหตุนี้ ฐานรากอันเป็นปทัสถานเบื้องหลังความอดกลั้นอย่างแท้จริง จึงไม่ใช่อะไรเลยนอกจากการตระหนักถึงข้อจำกัดในการใช้เหตุผลของมนุษย์ การตระหนักซึ่งทำให้แต่ละฝ่ายไม่สามารถยึดถือคุณค่า ความดีงามของตนว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงามสำหรับฝ่ายอื่นๆตามไปด้วย ปทัสถานที่รองรับความอดกลั้นดังกล่าวจึงย่อมเป็นสิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่าสิทธิในการให้ความชอบธรรม (Right to Justification) หรือสิทธิที่ตนจะไม่ถูกบังคับหรือแอบอ้างไปตามข้อเสนอหรือการกระทำของบุคคลอื่นจนกว่าตนจะเป็นผู้อนุญาตหยิบยื่นความชอบธรรมให้กับข้อเสนอ/การกระทำของบุคคลเหล่านั้นเอง ปทัสถานดังกล่าวนี้นับเป็นปทัสถานที่สำคัญมาก เพราะมิเพียงจะมีศักยภาพในการปลดปล่อยคุณค่าเรื่องความอดกลั้นจากอิทธิพลของโลกทัศน์ทางศาสนาแบบตะวันตกแล้ว ยังเป็นตัวแบบพื้นฐานสำหรับขยายคุณค่าดังกล่าวให้เปิดกว้างรองรับความแตกต่างหลากหลายในความเชื่อ ศาสนาและวัฒนธรรมอื่นๆนอกภูมิภาคตะวันตกได้อีกด้วย เพราะการวางฐานของความอดกลั้นไว้ที่สิทธิในการให้ความชอบธรรมนี้ย่อมเปิดพื้นที่ให้กับการแสดงออกซึ่งความคิด ความเห็นของฝ่ายที่มีวัฒนธรรม ความเชื่อ ความคิดที่แตกต่างจากอีกฝ่ายได้เสมอโดยที่แต่ละฝ่ายไม่จำเป็นต้องลดทอนวัฒนธรรม ความเชื่อและความคิดที่แตกต่างดังกล่าวเพื่อสมานลักษณ์เข้ากับอีกฝ่ายหนึ่งแต่อย่างใดนอกจากยอมรับเงื่อนไขพื้นฐานว่า อีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นตัวตนทางศีลธรรม สามารถใช้เหตุผลได้เหมือนตนจึงย่อมมีสิทธิในการให้ความชอบธรรมไม่ต่างกัน

สนุกมากครับ แนะนำสำหรับทุกคน เป็นหนังสือที่ must read ที่สุดอีกเล่มหนึ่ง
Displaying 1 of 1 review

Can't find what you're looking for?

Get help and learn more about the design.