Jump to ratings and reviews
Rate this book

ทำไมคุยกับคนนี้แล้วรู้สึกดีจัง

Rate this book
พูดไม่ต้องเก่งก็สามารถจับใจคนฟังได้ ด้วยเทคนิคลับเฉพาะจากนักจัดรายการวิทยุชื่อดังของญี่ปุ่น
พูดไม่ต้องเก่งก็สามารถจับใจคนฟังได้ ด้วยเทคนิคลับเฉพาะจากนักจัดรายการวิทยุชื่อดังของญี่ปุ่น

“คุยกับคนนี้แล้วรู้สึกดีจัง” คุณอาจสงสัยว่าเป็นเพราะอะไร เพราะอีกฝ่ายคุยเก่งหรือคุยสนุกใช่ไหมคำตอบคือ “ไม่เสมอไป” โยะชิดะ ฮิซะโนะริ นักจัดรายการวิทยุชื่อดังของญี่ปุ่นเคยเป็นคนที่ “บกพร่องด้านการสื่อสาร” เขาจะรู้สึกประหม่าทุกครั้งเวลาเจอคนแปลกหน้า และไม่กล้าแม้แต่สบตาคนที่กำลังคุยด้วย...แต่เมื่อเขาค้นพบ “เทคนิค” บางอย่างและลองนำไปใช้ เขาก็กลายเป็นคนที่บรรดาดาราและคนดัง อยากคุยด้วยมากที่สุด แม้ว่าเขาจะยังพูดไม่ค่อยเก่งเหมือนเดิมก็ตาม

175 pages, Paperback

Published October 1, 2017

20 people are currently reading
213 people want to read

About the author

吉田 尚記

10 books3 followers

Ratings & Reviews

What do you think?
Rate this book

Friends & Following

Create a free account to discover what your friends think of this book!

Community Reviews

5 stars
12 (10%)
4 stars
34 (29%)
3 stars
43 (37%)
2 stars
21 (18%)
1 star
5 (4%)
Displaying 1 - 19 of 19 reviews
Profile Image for ไม้ไต่คู้.
145 reviews67 followers
July 6, 2023
ผมคิดว่าตัวเองเป็นหนึ่งในคนที่คุยไม่เก่ง และต้องขอบอกตรงๆ ว่า ผมไม่ชอบหนังสือเล่มนี้

แนวคิดของหนังสือเล่มนี้เริ่มจากความเชื่อที่ว่า เราทุกคนควรจะมีทักษะในการคุยเล่น หากคุณไม่สามารถเจื้อยแจ้วสัพเพเหระกับคนไม่รู้จักได้ คุณจะถูกมองว่ามีความบกพร่องในการสื่อสาร ซึ่งมันจริงหรือเปล่าผมไม่แน่ใจ แต่ผมไม่เห็นด้วยกับแนวคิดแบบนี้

ผมไม่คิดว่าความเงียบเป็นสิ่งเลวร้าย การอยู่ในลิฟท์กับคนไม่สนิทแล้วเกิดความเงียบไม่ใช่เรืองน่าอึดอัดหรือผิดบาป ถ้าไม่มีอะไรจะคุยก็ไม่ต้องคุย คุณไม่จำเป็นต้องยกเรื่องดินฟ้าอากาศ สถานที่เที่ยว อาหารกลางวัน ฯลฯ ขึ้นมา "คุยเล่น" เพียงเพราะไม่อยากให้มันเงียบ

ผมเห็นด้วยว่าการพยายามคุยให้เก่งขึ้นเป็นสิ่งที่ดี แต่มันก็ไม่จำเป็นต้องไปทำให้บุคลิกแบบอื่นๆ กลายเป็นปมด้อยที่ต้องแก้ไขอะไรนักหนา ความเงียบและคนเงียบก็มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง และคนพูดเก่งก็มีเสน่ห์ในแบบคนพูดเก่ง โลกควรมีทั้งสองแบบ

หนังสือเล่มนี้ขาดการพิจารณาถึงบุคลิกภาพแบบต่างๆ อย่างรอบด้าน ผู้เขียนชูให้เห็นถึงความดีงามของการเป็นคนพูดเก่ง (ซึ่งไม่ผิด) แต่สิ่งที่ค่อนข้างขัดใจ คือการสรุปอย่างผิวเผินว่า คนพูดไม่เก่งมีสาเหตุมาจากความขี้อายและขาดความมั่นใจ กังวลกับสายตาคนอื่นมากเกินไป เพราะงั้นเรามาแก้ไขเรื่องนี้ และมาเป็นคนพูดเก่งกันเถอะ

ผมคิดว่าคนเรามีมิติที่หลากหลายมากเกินกว่าจะสรุปแบบนั้น

คนคุยไม่เก่งบางคนอาจเลือกที่จะ 'ไม่คุยเก่ง' เพราะเค้าสัมผัสได้ว่า คนคุยเก่งก็มีความน่ารำคาญในแบบคนคุยเก่ง และเค้าไม่ต้องการที่จะเป็นแบบนั้น (ซึ่งไม่ใช่เรื่องถูกผิดอะไร)

ไม่ว่าจะเป็นคนคุยเก่งหรือคนคุยไม่เก่ง ก็ล้วนมีความน่ารำคาญในแบบของตัวเองทั้งสิ้น คนที่คุยไม่เก่งก็คงรู้อยู่แล้วว่านิสัยเงียบๆ ของพวกเค้ามันน่ารำคาญยังไงบ้าง (เพราะที่ผ่านมาโลกนี้คอยบอกเค้าอยู่เสมอว่าบุคลิกภาพแบบนี้มันด้อยค่ากว่าบุคลิกภาพแบบนักพูดยังไงบ้าง) แต่ที่น่าสงสัยคือคนคุยเก่งจะรู้บ้างหรือไม่ ว่าบุคลิกภาพแบบพวกเขามันก็มีส่วนที่น่ารำคาญเช่นกัน

ถ้ายังไงก็จะต้องถูกรำคาญอยู่แล้วล่ะก็ คนบางคนก็แค่เลือกจะเป็นคนเงียบที่น่ารำคาญมากกว่าเป็นคนพูดเก่งที่น่ารำคาญก็เท่านั้น มันไม่ใช่ว่าความอายหรือความกลัวทำให้เขา "ไม่กล้าพูด" แต่เจ้าตัวอาจเลือกที่จะ "ไม่พูด" เสียมากกว่า


และหนังสือเล่มนี้ก็เหมือนหนังสือ How to ทั่ว ๆ ไปที่มักจะพูดถึง 'วิธีการเป็นคนที่ดีขึ้น'

ซึ่งจริงๆ แล้ววิธีเหล่านี้ก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไร ทุกคนก็รู้กันอยู่แล้วแหละว่าถ้าจะพัฒนาตัวเองต้องทำยังไงบ้าง แต่เราขี้เกียจทำเท่านั้นเอง เช่น หากคุณอยากเป็นคนคุยเก่งและมีเสน่ห์ คุณก็ต้องมีความมั่นใจ สบตาผู้พูดเวลาพูด ระหว่างที่คุยกันก็พยายามค้นหาว่าคู่สนทนามีความสนใจในเรื่องไหน และหมั่นถามเรื่องนั้น ไม่พยายามทำตัวเหนือกว่า อย่าเอาตัวเองเป็นจุดเด่นหรือจุดศูนย์กลางในการสนทนา หมั่นชื่นชมและให้ความสำคัญกับคู่สนทนา บลาๆๆ

ซึ่งก็คงไม่มีอะไรผิด เพราะวิธีเหล่านี้ก็ดูสมเหตุสมผล แต่ผมคิดว่าวิธีการต่างๆ เหล่านี้ก็ยังไม่ใช่สิ่งสำคัญ มันเป็นแค่ต้นหอมซอยในถ้วยราเมง หรือเศษหมูติดมันในข้าวหน้าหมูทอดเท่านั้น

หัวใจสำคัญจริงๆ ของการเป็นคนมีเสน่ห์ มันน่าจะอยู่ในบทแรก ๆ ของหนังสือ 'How to win friends and influence people' ของเดล คาเนกี้ ที่มีเนื้อหาประมาณว่า หัวใจสำคัญของการเป็นคนมีเสน่ห์และจับใจผู้อื่นได้มันอยู่ลึกลงไปข้างในตัวคุณ คุณไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนมีเสน่ห์ด้วยการเปลี่ยนคำพูดไม่กี่คำหรือเสแสร้งพูดถ้อยคำสวยหรูออกมา

คุณจะมีเสน่ห์ได้จริงๆ ก็ต่อเมื่อภายในจิตใจของคุณมันเป็นเช่นนั้น

คุณมองหาความสนใจของคู่สนทนาและเริ่มซักถาม เพราะคุณอยากรู้จักเค้าให้มากขึ้น ไม่ใช่เพราะตำราสร้างเสน่ห์บอกให้ทำ

คุณไม่ทำตัวอวดโอ่เหนือกว่าคู่สนทนา เพราะคุณรู้ว่าคุณตัวเล็กเพียงไร ไม่ใช่เพราะตำราสร้างเสน่ห์บอกให้ทำ

คุณไม่ขัดคอหรือพูดจาว่าร้ายรุนแรง เพราะคุณรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่ใช่เพราะตำราสร้างเสน่ห์บอกให้ทำ

ยามที่คุณเปลี่ยนเนื้อแท้ข้างในจิตใจให้มีเสน่ห์ คุณจะไม่ต้องคอยคอยนึกคอยจำว่าเราต้องทำแบบนู้น พูดแบบนี้ เพื่อจะได้เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น คุณจะทำทุกอย่างออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะทุกๆ การกระทำมันเกิดขึ้นจากใจของคุณเอง

ซึ่งการเปลี่ยนเนื้อแท้ข้างในจิตใจก็เป็นสิ่งที่ยากเย็น ฮาวทูเล่มไหนก็ช่วยไม่ได้ ฆ่ากันไปเลยอาจง่ายกว่า
Profile Image for GleeGMJournal.
306 reviews2 followers
July 19, 2020
หนังสือสั้น ๆ เกี่ยวกับเทคนิคการพูด
นับว่าเป็นหนังสือที่อ่านได้กลาง ๆ แม้จะไม่ค่อยจะมี key-takeaway ให้เก็บกลับบ้านมากนัก
ใจความหนังสือส่วนใหญ่มักจะเป็นที่เราคนอ่านรู้กันอยู่แล้ว (เช่น เวลาหาเรื่องคุย จงเน้นฟังมากกว่าพูด ให้อีกฝ่ายเล่าออกมาเยอะ ๆ หรือเน้นคุยเกี่ยวกับเรื่องของเค้ามากกว่าจะเน้นบทสนทนาเชิง self-centered) เพียงแต่หากพูดถึงหนังสือในเชิงเทคนิคการพูดเล่มอื่นจะลงสาระ + ตัวอย่างมากกว่า (เช่น How to Win Friends & Influence People) แต่อย่างน้อยก็เป็นหนังสืออ่านสั้น ๆ ที่ถ้ายังไม่มีพื้นเกี่ยวกับประเด็นนี้มาก่อน ก็พอจะช่วยไม่ให้เริ่มบทสนทนาที่ดูประดักประเดิดได้

ในบางส่วนของหนังสือก็มีจุดที่ไม่ค่อยจะเห็นด้วย เช่นเรื่องการเล่นมุก Body Shaming (หาข้อด้อยสักอย่างของคู่สนทนาเพื่อสร้างความสนิทสนม) ซึ่งคนเขียนได้เน้นย้ำเป็นพิเศษว่ากรณีนี้จะสามารถใช้ได้ถ้าคู่สนทนาเค้าไม่ถือสากับประเด็นนี้จริง ๆ จึงต้องเช็คให้ดีๆ เพราะประเด็นการเล่นมุกแบบนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อนและหลาย ๆ คนก็พยายามรณรงค์ให้เลี่ยงการใช้มุกเหล่านี้ ทางที่ดีหากจะใช้จริง ๆ เอาให้แน่ใจและคุยกันให้เรียบร้อยว่าเพื่อนคุณโอเคกับการเรียกนี้ไหม แต่ถ้าจะให้ดี เราไม่เล็งเห็นว่าวิธีนี้เหมาะกับการเล่นสำหรับคนที่เพิ่งรู้จักกันใหม่ ๆ เพราะมันละเอียดอ่อนมาก ๆ (ทางที่ดีที่สุดคืองดใช้วิธีนี้เลยจะดีกว่า)
Profile Image for Saki Rook a Bead.
81 reviews15 followers
April 15, 2018
ยืมเพื่อนมาอ่าน ก่อนอ่านได้เห็นรีวิวของคุณ napon ใน goodread ที่รีวิวได้เร้าใจมาก

หนังสือเล่มนี้ เหมาะกับคนที่คิดว่าตัวเองพูดไม่เก่งแต่อยากจะพูด ประมาณว่าบางครั้งเราก็อยากจะคุย แต่ไม่รู้จะคุยอย่างไร หรืองานต้องพบเจอคนใหม่ ๆ ตลอด ซึ่งน่าจะดีถ้าเราคุยกับคนอื่นได้บ้าง แต่ติดปัญหาตรงที่ ไม่รู้จะคุย จะเริ่มยังไงดี
ผู้เขียนจึงเดาทางว่า ผู้อ่านต้องเป็นคนที่พูดไม่เก่ง แต่อยากพูด แต่ก็ไม่ได้สรรเสริญว่าคนพูดเก่งจะดีกว่า ดังนั้นจึงไม่ไ���้มีขอบเขตไปถึงคนที่ชอบพูดมากน่ารำคาญ

แต่อ่านแล้วไม่รู้สึกว่าได้อะไรใหม่ อ่านไปได้ 1 ใน 3 ก็เปิดอ่านแบบสแกน ๆ รู้สึกว่า ซ้ำ ๆ กับหนังสือแนวนี้่ที่เคยอ่าน (เพราะเราคิดว่าเราเป็นคนที่คุยไม่เก่ง มนุษยสัมพันธ์แย่ เราเลยอ่านหนังสือแนวนี้มามาก) แต่ถ้าคนที่ยังไม่เคยอ่านหนังสือแนวนี้ เล่มนี้อาจจะเป็นประโยชน์ ในการช่วยให้ในเวลาที่เราอยากจะคุย แต่ไม่รู้จะคุยอะไรดี สามารถหยิบยกหัวข้อการสนทนาได้ง่ายขึ้น หรือทีความมั่นใจและมีทัศนคติต่อตนเองดีขึ้น

ติดตามรีวิวของซากิกับเพื่อน ๆ ได้ที่ FB page : Rook a bead
Profile Image for Mirai.
590 reviews127 followers
April 15, 2018
"การพูดมันคือเกมที่เราต้องฉลาดเล่น"

เล่มนี้เป็นหนังสือแนวจิตวิทยาพัฒนาตนเองค่ะ ที่เราซื้อมาอ่านมีเหตุผลเดียวก็คือ เราเป็นคน "พูดไม่เก่ง" เลยพยายามหาหนังสือเสริมเทคนิคการพูดมาช่วย และบังเอิญเห็นเล่มนี้ราคาไม่แพง (170 บาท) แถมเล่มยังเล็กกะทัดรัด ง่ายแก่การพกพา แถมตัวหนังสือและการจัดรูปเล่มก็อ่านง่ายพอสมควร ก็เลยซื้อติดมือกลับมาอย่างง่ายดาย

หนังสือเล่มนี้เขียนโดย คุณโยะชิดะ ฮิซะโนะริ นักจัดรายการวิทยุชื่อดังของประเทศญี่ปุ่นค่ะ เขาเป็นอดีตหนุ่มที่พูดไม่เก่ง แถมยังชอบกังวลตลอดเวลาว่า ถ้าเขาพูดออกไปแล้วคนฟังจะเบื่อรึเปล่า แต่เขาก็ข้ามผ่านความกลัวตรงจุดนั้นมาได้ และกลายเป็นหนุ่มช่างพูดที่สามารถคุยคนเดียวได้นานหลายชั่วโมงทีเดียว! (แหม่! ก็เขาเป็นนักจัดรายการวิทยุนี่นา! 555555)

หนังสือเล่มนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนค่ะ ได้แก่ ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ โดยในภาคทฤษฎีจะเป็นการบอกเล่าถึงการพูดที่ดีในภาพรวม ทั้งลักษณะที่ควรทำและไม่ควรทำทั้งหลาย มีการเล่าประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียนและคนรอบข้างปะปนอยู่บ้าง (มีการนำเอาคอมเม้นต์ของผู้ัฟังวิทยุทางบ้านมาแซมๆ แทรกๆ ด้วยนะเออ) เราจะได้เห็นตัวอย่าง และความเห็นต่างๆ ในหลายมุม เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อลงสนามพูดจริง ในขณะที่ภาคปฏิบัติจะเป็นการนำเอาหลักการหรือเทคนิคการพูดต่างๆ ที่กล่าวไปแล้วในส่วนของภาคทฤษฎีมาปรับใช้ในชีวิตจริง เพื่อให้การพูดเป็นไปอย่างราบรื่น เท่าทันสถานการณ์ และไม่ให้เกิดบรรยากาศ "Deadair" ขึ้นมา

สรุปแล้ว.. อ่านไปใช้ได้จริงรึเปล่า? คนพูดไม่เก่งจะพูดได้ดีขึ้นจริงรึเปล่า..?
...อันนี้เราคิดว่ายังไงก็แล้วแต่คนอยู่ดีอ่ะ เพราะบางเทคนิค บางคนก็รู้ดีอยู่แล้ว แต่บางคนก็ไม่ ที่สำคัญ มันขึ้นอยู่กับตัวเองมากกว่าว่าจะนำเทคนิคต่างๆ ที่มีิอยู่ในเล่มไปใช้ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะหนังสือเล่มนี้เป็นเพียงแค่หนังสือแนะนำเทคนิคการพูดที่ดี ให้ดูน่าฟังน่าสนใจ และให้เกียรติคู่สนทนาของเราเท่านั้นเอง มันเป็นเหมือนหนังสือที่ผลักดันให้เรากล้าที่จะพูด กล้าที่จะลงสนาม เพื่อจะได้กลายเป็นคนใหม่ที่มีทักษะการพูดที่ดีกว่าเดิม

สรุปแล้ว.. ก็อย่างที่บอกไปข้างต้นนั่นแหละ หนังสือเล่มนี้จะมีประโยชน์แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่าอยากจะพัฒนาและกล้าเผชิญหน้ากับความกลัวรึเปล่า แต่มีสิ่งนึงที่เราประทับใจที่สุดก็คือมุมมองของผู้เขียนในบางเรื่องที่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสและพยายามมองต่างมุมในหลายๆ เรื่อง และนำสิ่งเหล่านี้มาเป็นแรงผลักดันให้เราอยากพัฒนาตนเองมากขึ้น เราเลยมองว่าเล่มนี้ไม่ได้เป็นหนังสือแนะนำวิธีพูดอย่างเดียว แต่เป็นหนังสือให้กำลังใจด้วย

เพราะฉะนั้น ใครอยากพูดเก่งๆ แบบไม่แป้ก ไม่ตัน ไม่สะดุด และไม่ถูกคู่สนทนามองบนใส่ แต่ใจยังไม่กล้าพอที่จะเริ่มคุยกับใคร หนังสือเล่มนี้ก็เป็นอีกเล่มที่น่าสนใจนะคะ :)

สามารถติดตามอีกช่องทางการรีวิวของเราได้ที่ https://www.facebook.com/Rookabead
Profile Image for Sura Siri.
346 reviews5 followers
October 19, 2024
หนังสือที่เขียนโดยดีเจที่เขาบอกว่าในอดีตเขาเป็นผู้บกพร่องทางการสื่อสาร เนื้อหาหลักการไม่ได้เข้มข้นและไม่ได้เขียนเนื้อหามาเพื่อสร้างนักพูด เขาต้องเพิ่มความกล้าสื่อสารและลดความอึดอัดในการที่ต้องสื่อสารกับผู้อื่น เนื้อหาเบาๆ เมื่ออ่านแล้วได้หลักการบางอย่างจากการอ่านหนังสือเล่มนี้
13 reviews1 follower
April 13, 2018
อ่านแล้วมีหลักการข้อแนะนำชัดเจน
แต่อาจจะไม่เหมาะกับทุกคน ประเด็นที่ได้น้อยเพราะว่าเมือเวลาผ่านไปนั้น จำเนื้อหาอะไรในเล่มนี้ไม่ได้เลย
Profile Image for HAGAO.
43 reviews4 followers
May 16, 2021
สิ่งหนึ่งที่ไม่ชอบในหนังสือเล่มนี้คือ แนวคิดที่ว่า ควรยอมโดนล้อเลียน เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์
Profile Image for May Waivitlikit.
11 reviews2 followers
April 17, 2022
หนังสืออีกเล่มที่อยากแนะนำสำหรับคออ่านสายพัฒนาตัวเอง โดยเล่มนี้จะเน้นไปที่เทคนิคการสื่อสารและพูดคุย เป็นหนังสืออีกเล่มที่อ่านง่ายและเหมาะสำหรับคนที่มีเวลาอ่านไม่มาก ด้วยความหนาเพียง 175 หน้า ที่ถึงแม้เล่มไม่หนาแต่เนื้อหาก็จัดเต็ม

คุณโยะชิดะ (ผู้เขียน) ได้นำเทคนิคที่ตัวเองค้นพบจากการทำงานเป็นนักจัดรายการวิทยุมารวบรวมและเขียนออกมาเป็นหนังสือ เนื้อหาในเล่มนี้จะมีทั้งประสบการณ์ เทคนิคและตัวอย่างในรูปแบบของคอมเม้นท์จากผู้ฟังทางบ้านที่โต้ตอบในรายการวิทยุที่ผู้เขียนจัด ต้องบอกว่าแนวการเขียนโดยการนำคอมเม้นท์จากผู้คนทางบ้านที่ฟังในรายการของผู้เขียนมาใช้ในหนังสือสลับๆไปกับตัวเนื้อหาทำให้หนังสือเล่มนี้มีชีวิตชีวามากขึ้น เวลาอ่านจะรู้สึกเหมือนเรานั่งฟังรายการของผู้เขียนเองเลยทีเดียว

เนื้อหาในหนังสือนั้นผู้เขียนแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ
1. ส่วนแรกเป็นภาคทฤษฏีซึ่งจะพูดถึงความคิดและ ทัศนคติต่อการพูดคุยของสังคมและของตัวเราเอง ผู้เขียนแสดงความไม่เห็นด้วยที่สังคมมักมองว่าคนที่พูดไม่เก่งเป็นคนที่มีความบกพร่องทางการสื่อสาร ทั้งๆที่คำว่า ”ความบกพร่อง” เป็นคำที่ใช้เรียกอาการทางการแพทย์ที่คนเราขาดสิ่งที่ควรมีติดมาตามธรรมชาติ แต่การพูดเก่งไม่ใช่ทักษะที่เราทุกคนมีติด���าตั้งแต่กำเนิดด้วยซ้ำ อีกทั้งยังเป็นทักษะที่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้เพราะส่วนมากจะเกิดจากการขาดมั่นใจในตัวเอง

ผู้เขียนแนะนำว่าการสร้างความมั่นใจสามารถทำได้ด้วยการเริ่มต้นทำอะไรเล็กๆน้อยเพื่อสะสมๆไปเรื่อยๆทีละนิด เช่นการพูดคุยในลิฟท์ที่ซึ่งเป็นหนึ่งในที่ที่น่าอึดอัดอย่างที่หลายๆคนน่าจะเคยพบเจอ

ผู้เขียนมองว่าหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้คนเราไม่พูดเพราะเรากลัวว่าการพูดจะทำให้เราดูแย่ในสายตาผู้อื่น นอกจากนั้นเรากลัวที่จะเห็นคนอื่นเก่งกว่าโดยธรรมชาติและมักมองว่าผู้อื่นเป��นคู่แข่งของตนเอง หนึ่งในเทคนิคที่ผู้เขียนเคยใช้เมื่อเริ่มต้นอาชีพนักจัดรายการวิทยุใหม่ๆ และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบันคือการมองว่าการพูดคุยนั้นเป็นเกมๆหนึ่ง เป็นเกมที่ไม่มีคู่แข่ง ไม่มีผู้แพ้หรือผู้ชนะ มีแต่การชนะร่วมหรือแพ้ร่วมกันทั้งคู่เท่านั้น โดยการจะเอาชนะเกมพูดคุยนี้ได้ทั้งสองฝ่ายต้องพยายามทำให้การสนทนากันนั้นไหลลื่นและไปต่อได้ดีที่สุด

เพราะเกมพูดคุยไม่ใช่เกมที่จะทำให้สำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว และทุกการพูดคุยไม่สามารถสำเร็จอย่างไหลลื่นด้วยเราแค่คนเดียว แต่มันขึ้นอยู่กับคู่สนทนาของเราด้วย ผู้เขียนเปรียบเทียบกับการจัดรายการวิทยุ ถ้าเราหรือคู่สนทนาพูดคุยหรือส่งมุกไม่เข้าขากันก็จะทำให้ดูไม่เหมาะสมหรือรายการจะไม่ไหลลื่น และไม่สนุกไปเลย ผู้เขียนแนะว่าหากเรามองมันเป็นเกมที่ต้องร่วมมือกันจะทำให้เรารู้สึกสบายใจที่จะพูดมากขึ้น เพราะจะทำให้เรามีเป้าหมายให้การพูดคุยนั้นเป็นไปได้ด้วยดี และยังไม่ต้องสนใจถึงภาพลักษณ์ของตัวเองมากเกินไปด้วย

2. ส่วนที่สองของหนังสือจะเป็นภาคปฏิบัติ ซึ่งผู้เขียนอธิบายถึงเทคนิคต่างที่เอาไว้ใช้ในเกมพูดคุย ผู้เขียนแนะนำว่าการที่เราจะเปิดใจคู่สนทนาได้ในตอนเริ่มต้นเราอาจจะต้องมีเออออไปกับคู่สนทนาบ้าง อีกทั้งการทำให้การสนทนาไหลลื่นได้เราต้องพยายามไม่ใช้คำที่มีความหมายในแง่ลบหรือปฏิเสธ เช่นคำว่า “ไม่ใช่” หรือ “ไม่เห็นด้วย” เพราะคำพูดเหล่านี้จะทำให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย คู่สนทนาจะเริ่มถอยหนีทันทีที่ได้ยิน แต่ไม่ใช่ว่าเราห้ามคิดต่างและออกความคิดเห็นเลย เราสามารถทำแบบนั้นได้ด้วยประโยคเช่น “ผมว่าสิ่งที่คุณพูดเป็นมุมมองที่น่าคิด แต่ผมเห็นแบบนี้…” ได้ ซึ่งจะทำให้ประโยคดูอ่อนโยนลง

ผู้เขียนแบ่งองค์ประกอบที่จะทำให้ชนะในเกมพูดคุยออกเป็น 3 องค์ประกอบโดยเปรียบเทียบกับการเล่นกีฬาฟุตบอลได้แก่
1. การรับลูก : การฟังสิ่งที่คู่สนทนาพูด รวมถึงสนใจเนื้อหาและตัวคู่สนทนาอย่างตั้งใจจริง
2. การส่งลูก : การนำสิ่งที่ฟังมาตั้งคำถามให้แก่คู่สนทนา
3. การเลี้ยงลูก : การพูดของตัวเราเองเพื่อทำให้การสนทนาเป็นไปต่อได้อย่างไหลลื่น

ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่าคนเราปกติจะชอบพูดเรื่องของตัวเองอยู่แล้ว หากเรารับและส่งลูกได้เก่งถึงระดับหนึ่ง เราอาจจะไม่ต้องเลี้ยงลูกเลยเพราะอีกฝ่ายจะเลี้ยงลูกโดยพูดถึงเรื่องของตัวเองอย่างมีความสุข ซึ่งนั่นก็เป็นการชนะเกมพูดคุยได้ แต่หลายๆครั้งที่เราถูกคู่สนทนาถามกลับมาเราก็ต้องตอบคำถามนั้นและเลี้ยงการสนทนาให้เป็นไปต่อ และหาจังหวะส่งลูกกลับไปเหมือนกัน

นอกจากเรื่องการพูดแล้วผู้เขียนยังแนะว่าสิ่งที่เราแสดงออกในช่วงการสนทนาก็สำคัญไม่แพ้กัน เราควรทำตัวให้ดูสนใจในสิ่งที่คู่สนทนาพูดมากที่สุด โดยอาจจะใช้วิธีทำเหมือนทึ่งในสิ่งที่คู่สนทนาพูด อีกทั้งถ้าเราต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงลูกเราอาจจะแต่งเติมความรู้สึให้มากขึ้นเข้าไปหน่อยให้เรื่องดูน่าสนใจมากขึ้น แต่เน้นว่าต้องไม่ใช่การโกหกและโอ้อวดมากเกินจริงไป เพราะการโกหก และโอ้อวดถึงเป็นสิ่งต้องห้ามและผิดกติกาอย่างมากในเกมการพูดคุยครับ 
2 reviews
April 20, 2018
ถ้าอ่านเพื่อจะให้พูดเก่ง คิดว่าควรหาเล่มอื่นค่ะ
แต่ถ้าเพื่ออยากทำให้คนที่เราสนทนาด้วย "รู้สึกดี" คิดว่ามันได้อยู่ :)
เนื้อหาดูเบาๆแต่ลองจับประเด็นที่มันดูเล็กๆน้อยๆมาลองเอาไปปรับใช้ถือว่าดีทีเดียวค่ะ
Profile Image for specialday.
133 reviews2 followers
July 26, 2023
ชอบเนื้อหาในช่วงที่บอกว่า
การพูดคุยก็เหมือนเกมส์หนึ่งเกมส์
มันล้วนมีกติกาและเมื่อเราเข้าใจกติกา
เราก็จะสามารถสื่อสารอย่างที่ต้องการได้

จริงๆก็เป็นเทคนิคต่างๆ แต่เน้นไปที่จุดเริ่มต้นของการพูดคุยมากกว่า แต่สุดท้านแล้วก็คือ ต้องลงมือทำไปเรื่อยๆ แล้วการพูดคุยก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
Profile Image for TGIFD.
58 reviews14 followers
July 25, 2020
โดยรวมเป็นหนังสืออ่านง่าย เนื้อหาทั่วๆ ไป แนะนำวิธีคิดเพื่อพัฒนาการสื่อสารด้วยการพูดคุยกับคนอื่น
เนื้อหาหลายๆ อย่าง แม้จะมีบริบทแบบญี่ปุ่นมากๆ แต่ก็มีหลายๆ กรณีที่เป็นสากลสามารถนำมาปรับใช้ได้
535 reviews6 followers
December 21, 2019
ทุกคนพูดไม่เก่งทั้งนั้น ต้องอาศัยการฝึกฝน
เราคุยเพื่ออะไร? ตอบให้ได้ก่อน
คิดว่าเป็นเกม มีคนส่ง คนรับ คนเลี้ยงลูก
อ่านบรรยกาศในการคุยให้ออก
ตั้งคำถามดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ถามด้วยคำถามทั่วไป ที่คนฟังไปต่อได้ ถามเรื่องสนใจ ปรุงแต่งคำพูดเพิ่มสีสัน
Profile Image for Natta Narawit.
24 reviews
October 10, 2022
เนื้อหาไม่ตรงปกเท่าไหร่ เป็นหนังสือสอนวิธีพูดสำหรับคนที่ไม่เก่งเรื่องพูด
Profile Image for Daylight.
11 reviews
August 9, 2025
A typical life coach guide, one I skimmed through and then ended up putting on the shelf forever.
Displaying 1 - 19 of 19 reviews

Can't find what you're looking for?

Get help and learn more about the design.