Homo Finisher สายพันธุ์เข้าเส้นชัย

by นิ้วกลม

เมื่อผู้ชายที่ไม่ชอบการวิ่งแม้แต่น้อยลุกขึ้นวิ่ง ตั้งเป้าไปมาราธอนภายในหนึ่งปี ระหว่างทางเขากลับได้พบอะไรบางอย่างแก่ชีวิตที่มากไปกว่าความแข็งแรงของร่างกาย... เหมาะสำหรับคนที่ต้องการพลังชีวิต!

Genres: Nonfiction

456 pages, Paperback

First published March 1, 2018

About the author

นิ้วกลม หรือชื่อจริง สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ เข้าเรียนที่โรงเรียนอนุบาลที่เซนต์จอห์น และโรงเรียนเซนต์จอห์น ตามลำดับต่อมา
เรียนมัธยมต้นและปลายที่โรงเรียนบดิทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
และเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกร์มหาวิทยาลัย

ในด้านการทำงานได้เข้าทำงานโฆษณาที่บริษัทลีโอ เบอร์เนทท์ และต่อมาที่บริษัทเจดับบลิว เริ่มเขียนหนังสือที่นิตยสารอะเดย์โดยมีผลงานที่มีชื่อเสียงจากเรื่อง "โตเกียวไม่มีขา" และมีผลงานต่อมาอย่างต่อเนื่อง

Reviews

[Mook Woramon · Rating 4 out of 5]

เราอ่านหนังสือคล้ายกันในช่วงเวลาใกล้เคียงกันคือเถื่อนแปดกับ homo finisher พบจุดร่วมเดียวกันคือผู้เขียนเข้าสู่ช่วงที่มีความรู้สึกไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ไปทำไม เข้าใกล้ความสิ้นหวังในชีวิต ขาดความทะเยอทะยานในอะไรซักอย่าง นี่อาจจะเป็นปัญหาของคนที่เป็นนักคิด นักไตร่ตรองละมั้ง

ในเถื่อนแปด ผู้เขียนค้นพบความหมายของชีวิตด้วยการออกเดินทางทั่วโลก ตอบคำถามทุกอย่างในใจ

ในเล่มนี้ ผู้เขียนพบเป้าหมายในการมีชีวิตต่อด้วยการวิ่งมาราธอน บรรยายถึงช่วงชีวิตที่เคยทดท้อ ความรู้สึกก่อนการวิ่ง ขณะวิ่ง หลังวิ่ง ได้เห็นพัฒนาการการเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกายและจิตใจ มองเห็นแสงสว่างในชีวิต ทำให้เราพอจะเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมคนเราถึงต้องไปวิ่งมาราธอน
ซึ่งการพัฒนาตัวเองของผู้เขียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ถึงเป้าหมายการใช้ชีวิต การมีวินัยในตนเอง

เราเองอ่านอาจจะไม่ได้อินมากมาย เพราะเราชอบวิ่งออกกำลังกายแค่ห้ากิโลเมตร แต่ทำให้เราเห็นมุมมองใหม่ของการวิ่ง ลองตั้งเป้าหมาย ฟังเสียงฝีเท้า เสียงหัวใจตัวเองก็สนุกดี
และเรายังไม่เคยผ่านช่วงที่รู้สึกว่าชีวิตไร้ความหมาย เลยอาจจะจินตนาการไม่ถูกว่าชีวิตช่วงนั้นหดหู่ขนาดไหน และการที่ได้ค้นพบสิ่งที่ทำให้เราไปต่อได้จะรู้สึกยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่ถ้าคนรักการวิ่งตัวจริงมาอ่านคงจะอินมากแน่ๆ

[Thanawat · Rating 4 out of 5]

ประสบการณ์ของ “นักวิ่ง” อย่างนิ้วกลม สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ “นักไม่วิ่ง” ได้อย่างดี

Homo finisher เป็นคำที่สร้างขึ้นได้อย่างมีความหมายมาก บอกเล่าตัวตนของคนๆ หนึ่งได้ดีมาก

การผ่านเส้นชัยมาราธอน นักวิ่งไม่ได้วิ่งผ่านมาแค่ 42 km แต่มีระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรที่ต้องฟันฝ่ามาก่อนหน้านี้อยู่เบื้องหลัง

ผู้เขียนเล่าตั้งแต่จุดเริ่มต้น ไปจนถึงจุด finish ได้อย่างน่าประทับใจ

เล่าเรื่อง ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้สนุก แทรกด้วย quote คมๆ เท่ๆ อยู่ทั้งเล่ม

มันเป็นภาพในจินตนาการที่ชัดมากว่าต้องทำอย่างไร คนๆ นึงจะสามารถพิชิต 42 km ได้สำเร็จ

สิ่งนึงที่คิดว่าผู้เขียนย้ำบ่อยไปหน่อยในช่วงแรกคือเหมือนว่ากีฬา “วิ่งระยะไกล” มีความ “พิเศษ” ต้องการการฟันฝ่าอุปสรรคมากกว่า “กีฬาอื่น”

ส่วนตัวไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ เพราะกีฬาแต่ละประเภท สำหรับคนที่เล่นอย่างจริงจังแล้ว มันมีอุปสรรค มีเรื่องที่ต้องฟันฝ่า มีปีศาจแห่งความไม่สำเร็จ (DNF, do not finish) คอยกันท่าอยู่ ไม่ต่างจากการวิ่ง

อย่างไรก็ตาม หนังสือประสบการวิ่งเล่มนี้ ก็เขียนออกมาได้ดีมาก และ feel good ตามสไตล์นิ้วกลม

อ่านแล้ว ถึงกับหยิบรองเท้าวิ่ง ออกไปตามหามาราธอนแรกในชีวิตเลยทีเดียว

[Araya Pichitkul · Rating 5 out of 5]

สร้างแรงบันดาลใจ อ่านแล้วไฟลุกพรึบ อยากรีบใส่รองเท้า แล้วออกไปวิ่ง เพื่อที่จะได้สัมผัสเรื่องราวดีๆระหว่างทาง และความอิ่มเอมใจเมื่อบรรลุเป้าหมาย😍 วิ่งสู่เส้นชัยที่มองไม่เห็นด้วยตา แต่รับรู้ได้ด้วยใจกันเถอะ

[Nhischarnun Nunthadsirisorn · Rating 3 out of 5]

หยิบมาอ่านตอนตีสามจากนั้นก็ตะลุยยาวไปครึ่งเล่ม
หลังจากป่วยเมื่อปลายปีที่แล้วเราก็ไม่ได้ออกกำลังกายเลย
พออ่านเล่มนี้ก็มีแรงใจไปปั่นจักรยานก๊อกๆแก๊กๆ เริ่มต้น

ตอนแรกที่เห็น ก็คิดในหัวว่า คนบ้าอะไรเขียนหนาขนาดนี้
ก็รู้แหละว่าเรื่องวิ่งมันน่าจะมีอะไรให้เขียนได้
แต่มันยาวขนาดนั้นเลยหรอ

ด้วยความที่แต่ละบทสั้นๆ แล้วนิ้วกลมก็ใช้ภาษาพูดเหมือนคุยกับผู้อ่าน เหมือนบันทึกคุยกับตัวเอง ก็เลยทำให้อ่านเล่มนี้ได้ไม่เหนื่อย อ่านได้เรื่อยๆ เพลินๆ

เราไม่ได้อ่านนิ้วกลมมาโคตรนานแล้ว ตอนเด็กๆ ประทับใจ อิฐ แต่ก็แค่นั้น
ไม่ได้ตาม ไม่ได้เป็นแฟนคลับ
สำหรับเล่มนี้ เราอ่านเพราะมันเป็นการเขียนเรื่องวิ่ง และเพื่อนเราก็ให้ยืมมา
นี่เดี๋ยวก็จะส่งคืนพี่มุ่ย

ร่ายมาซะยาว เราก็อยากจะบอกว่า หากพิจารณาเล่มนี้ในฐานะหนังสือวิ่ง
คุณจะไม่ได้ความรู้เกี่ยวกับการวิ่งให้ถูกให้ดีอะไรเลย
แต่มันคือบันทึกการเดินทางด้านจิตใจของคนคนหนึ่งผู้ตั้งเป้าว่าจะลงมาราธอนและทำสำเร็จ
และเป็นความสำเร็จที่เขาย้ำนักหนาว่าทุกคนทำได้
ถ้าจะอ่านเอาแรงบันดาลใจ อ่านเอาความคิดด้านบวก ก็เลือกเล่มนี้มาอ่านในวันว่างของคุณ
แต่ถ้าจะอ่านเอาความรู้เรื่องการวิ่ง การซ้อม เพื่อลงวิ่งจริงจัง
ก็ไปติดตามเพจเกี่ยวกับการวิ่งทั้งหลายจะเลิศกว่า

เล่มนี้ให้ 3.5 นะ ก็ไม่แย่ มีคำคมให้ชีวิตเดินต่อไปข้างหน้าดี
ซื้อหาเป็นของขวัญได้ แต่ดูคนรับหน่อยว่าเขาชอบแนวนี้ไหม เห็นความหนาของหนังสือแล้วเขาจะกลัวไหม อะไรทำนองนั้น

[Ple · Rating 5 out of 5]

อ่านแล้วรู้สึกอยากออกไปวิ่งมาราธอนดูบ้าง เคยคิดว่าน่าจะยาก แต่ก็เป็นการท้าทายชีวิตที่ดีในรูปแบบหนึ่งเ เป็นการฝึกวินัยในตัวเอง โดยไม่มีใครมาบังคับได้ นอกจากตัวเรา ดังนั้น การวิ่งทำให้เรากลับมารู้สึกได้อีกครั้งว่าเราควบคุมชีวิตตัวเองได้ อย่างน้อยก็ในพื้นที่นี้ของชีวิต เราเป็นฝ่ายที่จะเลือกว่าจะเข้มแข็งหรืออ่อนแอ และวิ่งแบบที่เหมาะกับตัวเอง ที่เรามีความสุขที่สุดในตอนวิ่ง ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว โดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใคร และการดำเนินชีวิตก็เช่นกัน

[Pawarut Jongsirirag · Rating 3 out of 5]

เป็นหนังสือความเรียงด้านการวิ่งเล่มที่ 2 ทีได้อ่านต่อจากเล่มของลุงมู

เล่มนี้ของพี่เอ๋ คือไปคนละทางกับของลุงมูเลย พี่เอ๋ก็ยังคงเป็นพี่เอ๋ เน้นด้านเสริมพลังบวก ออกไปวิ่งซิครับ มันเปลี่ยนชิวิตคุณ บลาๆ เต็มอิ่มไปเลยตลอด 400 หน้า อ่านจบเเล้ว ถ้าใครที่ยังไม่เคยวิ่ง ผมว่าอย่างน้อยก็น่าจะมีความรู้สึกอยากออกไปสับเท้าให้เหงื่อไหล ทรมานตัวเองซักหน่อยเเหละ ถึงเเม้ในความบวกๆๆๆๆๆทั้งเล่มนี้ก็มีจุดบางจุดที่ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ คือ พวก วิ่งเเล้วเรารู้สึกตึงหรือเจ็บๆ เเล้วพี่เอ๋บอกว่าวิ่งต่อไป ซักพักผมก็หาย ส่วนนี้คืออยากจะบอกว่ามันเเล้วเเต่คนนะ บางคนคือมันเเค่ตึงๆเจ็บๆ ตอนวิ่งนอดหน่อย อาจจะเพราะร่างกายยังไม่พร้อม วิ่งไปอีกซักพักมันก็จะหาย วิ่งฉิวๆไป เเต่อีกด้านคือ ร่างกายกำลังบอกว่า กูเจ็บวะมึง หยุดเหอะ ถ้า���ม่หยุดกูจะปล่อยจอยนะ เคสหลังนี่บอกเลยว่าบันเทิงมาก เพราะมันคือการเจ็บจากการวิ่ง ทำให้พักยาววววววววววววว กำลังใจที่อยากจะวิ่��ก็จะฟ่อไป เลยดูให้ดีๆก่อนตัดสินใจว่าจะวิ่งหรือหยุดนะครับ

พออ่านทั้งสองเล่มใกล้ๆกัน สอมงเลยเอาไปเปรียบเทียบกับเล่มลุงมูเเบบออโต้ทันทีเลย ผมพบว่าสองเล่มนี้ต่างกันพอสมควร อย่างเเรกคือ จุดประสงค์ของการวิ่ง เล่มนี้จะเน้นไปที่การสิ่งทำให้พบเป้าหมายของชีวิต ชีวิตไม่ห่อเหี่ยว มองเห็นอะไรในชีวิตมากขึ้น ออกเเนวให้กำลังใจนิดๆ ในเเบบพี่เอ๋ ส่วนของลุงมู ลุงวิ่งเพื่อเป้าหมายอย่างอื่นมากกว่าให้การวิ่งเป็นคำตอบในตัวเอง เพราะลุงวิ่งเพื่อให้ร่างกายเเข็งเเรง พร้อมกับการเขียนนิยายได้ยาวๆ จะยืนระยะในฐานะนักเขียน ร่างกายต้องเเกร่งพอด้วย ลุงเน้นย้ำเเทบจะทุกบททุกตอน

อีกอย่างนึงคือ ผมอ่านเล่มพี่เอ๋เเล้วผมรู้สึกอยากออกไปวิ่งมากเลย จุดนี้ยอมรับเลยว่าพี่เอ๋ทำได้ดีมาก ตลอด 400 หน้าคือ ค่อยๆบิ้วให้เราอยากออกไปวิ่งมาราธอน เริ่มจาก 5 โล 10 โล ฮาฟ จนไปจบที่มาราธอน ถ้าคุณจบมาราธอนคุณจะพบอะไรเเน่นอน ส่วนลุงมูนี่ไม่มีสายให้กำลังงใจใดๆทั้งสิ้น ความเรียงของลุงคือเป็นการบอกเล่าการวิ่งของลุงเเกเฉยๆ ลุงก็เเค่วิ่งไปเรื่อยๆ วิ่งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จนวิ่งอัลตราได้ จบครับ เเค่นั้นเลย 5555

รักชอบสไตล์ไหนก็ไปหาอ่านจับจองกันได้ครับ ไม่ว่าเล่มไหนผมคิดว่ามันทำให้คุณอยากวิ่งอย่างเเน่นอน

[Bobbyboe · Rating 5 out of 5]

โคตรมีพลัง

[Clairdenoon · Rating 5 out of 5]

“ในตัวเรามีมนุษย์อยู่สองคน
คนที่สำเร็จและคนที่ล้มเหลว
ดึงคนแรกออกมา”

///เป็นเล่มที่เก็บไว้ใกล้ตาใกล้มือ เวลารู้สึกห่วยๆฝ่อๆพังๆ หยิบมาเปิดหน้าแรกๆจะเจอประโยคนี้..
ฮึบ👊🏼

[Nuttawat Kalapat · Rating 4 out of 5]

โอเค คนจบมาราธอน คงเป็นคนอีกโลกนึง
และเล่มนี้ ก็เชิญชวนโคตรๆ ให้เราอยากสัมผัสโลกแห่งการวิ่งมาราธอน

[HYern Thanapol · Rating 5 out of 5]

ทำให้ผมออกไปวิ่ง และยังส่งต่อให้คนอื่นได้อ่านอีกดี

[Noo149 · Rating 5 out of 5]

อ่านแล้วฮึกเหิม อยากไปมาราธอนอีกครั้ง

[Pelé · Rating 5 out of 5]

นิ้วกลมในหนังสือเล่มนี้ใกล้เคียงกับเรามาก ชีวิตเคว้งคว้าง ทุกอย่างดูซ้ำซาก ความตายโผล่มาเป็นทางเลือกอันดับแรกๆเสมอ ต่างกันแค่อายุ เราพึ่งจะยี่สิบต้นๆเอง

การวิ่งก็เช่นกัน เราก้าวสู่การวิ่งด้วยการชักชวนของพี่ชายที่ออฟฟิศ เป็นวงการที่เคยมองจากสายตาคนนอกแล้วก็เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าการวิ่งจะให้ความเพลิดเพลินกับเราได้ยังไง เตะฟุตบอลยังดูมีเป้าหมายซะกว่า

แต่เมื่อได้ลองแล้วก็ได้รู้ ในทุกวันที่ผ่านไปด้วยความยุ่งเหยิง การวิ่งทำให้เรามีเวลาอยู่กับตัวเอง เป็นโลกที่สงบเหลือเกิน

เรายังไม่เคยลงแข่งที่สนามไหนอย่างเป็นทางการ หนังสือเล่มนี้ช่วยกระตุ้นให้เราขยายกำแพงของตัวเองให้กว้างขึ้น

[Ponladeth Plientab · Rating 5 out of 5]

การวิ่งของคุณ อาจแปรเปลี่ยนความหมายไป
สำหรับผม หนังสือเล่มนี้คือเชื้อเพลิงชั้นดี ในการจุดไฟให้ชีวิต แต่ก่อนการวิ่งของผมเป็นเพียงการออกกำลัง แต่ปัจจุบันคือการก้าวผ่านกำแพงที่เรากั้นไว้

[Sahathust Num · Rating 4 out of 5]

เป็นหนังสือที่บันทึกการวิ่ง และเข้าใจจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณของนักวิ่งมากครับ ผมเป็นอีกคนที่ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือเล่มนี้

[Ploy Prapaploy · Rating 5 out of 5]

A winner is a dreamer who never gives up.
😊

[Ounggy · Rating 5 out of 5]

This book reminds me how important of discipline. I like the way he told the story. He made me realize that everyone has 'finisher' and 'do not finisher (DNF). I do many Hi-light in his book.

Many sentences attack my feeling. After I read his book, I have to tell myself that it's time to feed 'finisher', dont let DNF become dominant. And now, I start running again.

Thank you
Your book safe my life.

หนังสือของนิ้วกลมเล่มนี้ เรารู้สึกว่าเวลาอ่านแล้วกระตุ้นให้เราตระหนักถึงเรื่อง การมีวินัย
การไม่ยอมแพ้ การต่อสู้ กับตัวเอง ด้านที่อ่อนปวกเปียก

ช่วยเน้นย้ำว่า ในตัวเรามีเจ้า Finisher นะ ที่มันอ่อนแอ ก็เพราะตัวเราเอง
จากที่เคยคิดว่า ทำไม เราเป็นคนไม่มีวินัย เอาชนะใจตัวเองไม่ได้
มาอ่านหนังสือพี่ ก็เลยรู้ว่า เออ ก็เพราะเราปล่อยปละละเลยตัวเอง
อ้าง ความชิล อ้าง ความสุข อ้าง ความอิสระ
ปล่อยตัว ปล่อยใจ จนไม่มีระเบียบวินัย

การมาอ่านเล่มนี้อีกครั้ง ประโยคที่โคตรโดนใจ คือ ประโยคของ คิปโชเกที่ว่า

"จำไว้ว่า มีเพียงผู้มีวินัยเท่านั้นที่จะเป็นอิสระ"
"หากคุณไม่มีวินัย คุณจะตกเป็นทาสของอารมณ์ความรู้สึก
คุณจะตกเป็นทาสของความลุ่มหลง และ นั่นคือ ความทุกข์"

- Only the discipline, one are free in life -

ขอบคุณพี่นิ้วกลม
ที่เอาประโยคนี้ เข้าสู่กะโหลกหนาๆ
และเขกกะบานคนขี้เกียจอย่างเรา
ให้เตือนสติว่า ที่สบายๆ ไม่ใช่อิสระ
การมีวินัย และรับผิดชอบต่อหน้าที่ คือ อิสระและความสุขที่แท้จริง

[Silpa · Rating 5 out of 5]

ได้มาเจอหนังสือเล่มนี้โดยบังเอิญ (อีกแล้ว) ซึ่งก็ตรงกับช่วงจังหวะชีวิตพอดี โดยปกติเราไม่ใช่คนออกกำลังกายหรืออ่านหนังสือกำลังใจอะไรเท่าไหร่ แต่เราชอบอ่านหนังสือที่เป็นกึ่งไดอารี่บันทึกเรื่องราวในชีวิต พร้อมกับเป็นช่วงชีวิตที่เราลุกขึ้นมาออกกำลังกาย มาวิ่ง อ่านแล้วอินมาก

เล่มนี้จะเป็นหนังสือที่รวบรวมเรื่องราวของคุณเอ๋ นิ้วกลม ในช่วงวันที่เขารู้สึกหมดไฟ หมดแรงบันดาลใจว่าเราจะใช้ชีวิตทำไมเมื่อเราได้ในสิ่งที่เราอยากมี เจอในสิ่งที่ตามหาจนกระทั่งคุณเขาได้เจอกับสิ่งหนึ่งที่ทำให้ตัวเขาอยากจะพิสูจน์ตัวเอง ทะลุเพดานศักยภาพร่างกายตัวเอง จนอยากจะมีชีวิตต่อในวันต่อไปแบบมีความหมายนั่นก็คือการวิ่ง

ในเล่มนี้จริงๆ ไม่ใช่คนชอบวิ่งอ่านแล้วก็จะเติมไฟฝันเหมือนกัน ไฟในร่างกายจะลุกโชน แต่สำหรับเรา มันมีหลายประโยคที่ทัชใจเราและเอามาปรับใช้ได้กับชีวิตจริง เหมือนหนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนเพื่อนที่มาเล่าประสบการณ์ในชีวิตให้ฟัง ฟังแล้วขบคิดตาม อ่านแล้วเจอกับ��ัวละครอื่นๆ อีกมากมายในชีวิตคุณเอ๋ที่ก็เป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้กับตัวเราเช่นกัน

เป็นหนังสือที่เดินผ่านชั้นแล้วเจอก็หยิบมาลองอ่าน แต่วันที่อ่านจบแล้วรู้สึกชอบเหลือเกิน

[K. · Rating 5 out of 5]

วิ่งอยู่แล้ว
อ่านเพราะชอบวิ่ง

ก่อนอ่านไม่ได้คาดหวัง พกไปไหนมาไหนเพื่ออ่านฆ่าเวลา ถึงเล่มจะหนาขนาดนี้ก็เถอะ

เป็นไดอารี่ของนักเขียนที่ลุกขึ้นมาวิ่ง จากคนที่วิ่งได้ไม่กี่เมตรก็เหนื่อย มาสู่คนที่จบมาราธอนก่อน 4 ชั่วโมงได้ในปี 2019 ในฐานะคนที่วิ่งเหมือนกัน อยากบอกว่าคนที่ทำได้แบบนี้เจ๋งมาก !!

ไม่มีความรู้เรื่องการวิ่งแบบล้ำลึกเข้มข้น เรื่องทำนองนี้หาอ่านได้ไม่ยากในยุคนี้ แต่เล่มนี้ไม่น้อยหน้าใครในเรื่องว่า อ่านแล้วทำให้อยากออกไปวิ่งมากๆ

[Pang · Rating 5 out of 5]

.ฉันเริ่มอ่านหนังสือเล่มนี้ พร้อมกับลงกิจกรรม วิ่งสะสมระยะทาง 140 กม. ใน 54 วัน...ซึ่งเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย(สำหรับฉัน)
.แต่การได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ทำให้มองเห็นความสวยงามระหว่างเส้นทางวิ่ง ไม่ใช่ที่เพียงเส้นชัยเพียงอย่างเดียว
.และคำกล่าวที่ว่า "เราจะไม่กลัวความทุกข์ เมื่อรู้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของความสุขและชีวิต" เป็นเรื่องที่ต้อง'ไปพบ'ด้วยตัวเอง..
.ขอบคุณคุณนิ้วกลม มากๆครับ

[GG · Rating 5 out of 5]

ออกไปวิ่ง 5 กิโลเมตร ในเวลา 44.25 หลังจากพักเข่ามาได้อาทิตย์หนึ่งได้เพราะหนังสือเล่มนี้ แม้ตอนนี้จะยังต้องถนอมเข่าอยู่ แต่หนังสือเล่มนี้ช่างเปี่ยมไปด้วยพลัง ส่งต่อความกล้าหาญและความฝัน ตอนนี้ตั้งใจว่าจะสมัครวิ่ง 5, 10 ฮาฟ และมาราธอนให้จงได้ หากท้อแท้แม้จะเป็นเรื่องอื่นใดในชีวิตก็คงจะหยิบเล่มนี้มาอ่าน แล้วบอกกับตัวเองว่า
Shut up and run

[urii · Rating 4 out of 5]

จากคนที่ไม่เคยวิ่ง จนมาเป็นนักวิ่ง การบอกเล่าเรื่องราวการลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง จนกลายเป็นคนใหม่ในสายพันธ์ Finisher นั้น... มันไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย แต่ในความเรียบง่าย กลับเป็นเรื่องไม่ง่ายในการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง เล่มนี้ไม่เฉพาะคนที่อยากวิ่ง แต่เป็นสำหรับทุกคนที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไปเป็นคนสำเร็จ

[Parnwad · Rating 4 out of 5]

อ่านแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองได้ร่วมวิ่งไปกับคุณนิ้วกลม ผู้เขียนให้ข้อคิดดีๆว่ามาราธอนเป็นมากกว่าการวิ่ง แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างวินัยให้กับตัวเอง จนเชื่อได้ว่าถ้ามาราธอนสำเร็จ ทำอะไรก็สำเร็จ เพราะเราชนะใจตัวเอง🏆🏆🏆 อ่านจบแล้วชวนให้ Shut up and run🏃‍♀️🏃‍♂️

[Jay Sujjaruk · Rating 5 out of 5]

ให้มุมมองลึกซึ้ง ประณีต ที่ซ่อนอยู่ในการวิ่งทางไกล ถ้าไม่ใช่นิ้วกลมคงไม่สามารถถ่ายทอดออกมาอย่างสวยงาม เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ ให้หลายคนก้าวไปสู่ชิวิตที่ดี เป็นคนที่เข้มแข็ง ยิ่งกว่าเดิม เริ่มจากออกวิ่ง แล้วที่เหลือจะตามมาเอง

[Benz Niti · Rating 3 out of 5]

ปรัชญาของการมีวินัย หาใช่เฉพาะกับการวิ่งมาราธอนเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงทุกกิจกรรม ทุกความตั้งใจในการที่อยากจะทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จในชีวิตของเรา ทุกคน ล้วนมี DNF และ Finisher ในตัวของเราเสมอและอยู่ในทุกๆเรื่องของเราในชีวิต

[Kubpam So · Rating 5 out of 5]

เหมาะสำหรับคนอยากวิ่ง แต่ไม่ได้วิ่งสักที, คนที่กำลังวิ่งอยู่ ทว่าไม่รู้จะวิ่งไปเพื่ออะไร, และคนที่เคยวิ่งแล้วล้มเลิกไปไม่เป็นท่า.

[Parinya Pawenawan · Rating 5 out of 5]

หนึ่งในแรงบันดาลใจในการออกไปออกกำลังกาย

[Milky · Rating 5 out of 5]

เจ๋ง!! สำหรับคนชอบวิ่ง หนังสือเล่มนี้ให้แง่คิดหลายๆ อย่างที่ดีมากๆ
เวลาขี้เกียจลุกจากเตียงไปวิ่ง จะนึกถึงหนังสือเล่มนี้
SHUT UP AND RUN!!!

[Kittisak Kaewneam · Rating 5 out of 5]

อ่านแล้วมีพลังและกำลังใจที่ทำให้อยากออกมาวิ่ง ดูแลเอาใจใส่ร่างกาย เรายังทำอะไรได้อีกมาก แค่ลงมือทำ

[Oabtovic · Rating 5 out of 5]

Shut up and RUN

[Krisada Visoodsak · Rating 5 out of 5]

หนังสืออีกเล่มที่ได้อ่านแล้วทำให้ชีวิต. ต้องลุกขึ้นมาวิ่งและไล่ตาม,ค้นหา ศักยภาพในตัวเองบ้างซะแล้ว
ขอบคุณสำหรับผู้เขียน