ไม้ไต่คู้145 reviews67 followersFollowFollowMay 20, 2019ส่วนตัวรู้สึกว่ามันเป็นหนังสือสอนเรียบเรียงโน๊ต มากกว่าจะเป็นหนังสือสอนจดโน๊ต (แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่นิยามคำว่าจดโน๊ตของแต่ละคนด้วยล่ะนะ)ไม่รู้ว่าผมเป็นบัวใต้น้ำที่อ่านไม่รู้เรื่องเองรึเปล่า แต่ผมคิดว่าก่อนคุณจะเอาเทคนิคใดๆ ในหนังสือเล่มนี้ไปใช้ได้ คุณจำเป็นจะต้องมีโน๊ตเวอร์ชันเหี้ยๆ มั่วๆ ที่คุณอ่านมันจนเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดอยู่ก่อนแล้วจากนั้นคุณถึงค่อยเอาเทคนิคในหนังสือเล่มนี้ไปพาสเจอไรส์โน๊ตเน่าๆ นั้นให้มัน สวยขึ้น อ่านรู้เรื่องขึ้น เป็นระบบระเบียบมากขึ้นแต่ถ้าคุณต้องการวิธีจดโน๊ตให้ออกมาสวยงามโดยไม่ต้องมีโน๊ตเหี้ยๆ มั่วๆ อันนั้น หนังสือเล่มนี้ไม่ได้สอนหนังสือเป็นสไตล์ญี่ปุ่นเลย ไม่เวิ่นเว้อ เขียนประโยคสั้นๆ ย่อหน้าสั้นๆ ตัวใหญ่ๆ โป๊ะๆ ฉับๆ เข้าประเด็นปัญหาคือประเด็นที่เข้ามันดันซ้ำไปซ้ำมา ขึ้นหัวข้อใหม่ทุกครั้งก็ต้องเกริ่นถึงสิ่งที่พูดไปแล้วในหัวข้อก่อนหน้า ครึ่งเล่มแรกมันเลยวนๆ อยู่ตรงกฎสามข้อกับอวยสมุดกราฟวนไป (ซึ่งอ่านแล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าความกราฟมันเป็น critical point อะไรขนาดนั้น) สิ่งที่พอจะได้จากหนังสือเล่มนี้อยู่บ้าง คือ 1. วิธีจดแบบคอร์เนลล์แบ่งพื้นที่ให้เป็นสามส่วน คือ ข้อเท็จจริง / ข้อคิดเห็น / สรุป2. แต่ละช่วงชีวิตก็ต้องการสมุดโน๊ตที่มีวัตถุประสงค์แตกต่างกันไปวัยเรียนที่ต้องสอบๆๆ จะต้องการ "สมุดโน๊ตช่วยจำ" ที่เน้นสะสมความรู้ให้ได้มากที่สุดวัยทำงานที่ต้องลงมือแก้ปัญหานู่นนี่ในแต่ละวัน จะต้องการ "สมุดโน๊ตช่วยคิด" ที่เน้นการ "ขจัด" ข้อมูลส่วนที่ไม่สำคัญทิ้งไปส่วนวัยทำงาน (มานาน) จะต้องการ "สมุดโน๊ตช่วยถ่ายทอด" ที่เน้นการนำเสนอ เข้าใจง่าย มองปราดเดียวรู้ว่าปัญหาคืออะไร และต้องแก้ยังไง3. จดโน๊ตเหมือนจัดบ้านอย่าพยายามจดทุกอย่างเก็บไว้ ให้เก็บไว้แต่สิ่งที่ spark joy ระหว่างจดโน๊ตควรฝึกตัดสินใจไปด้วย ว่าข้อมูลไหนบ้างที่ควรจะเก็บไว้หรือคัดทิ้งไป มันเป็นการขัดเกลาทักษะการตัดสินใจรูปแบบหนึ่ง4. ถาม "ทำไม" 5 ครั้งเอาละ ผมขอเริ่มจาก1. กูซื้อหนังสือเล่มนี้มาทำไมวะเนี่ย? ยืนอ่านที่ร้านแปบเดียวก็จบแท้ๆส่วนอีก 4 ครั้งขอติดไว้ก่อน
Apothecary69 reviews5 followersFollowFollowMay 2, 2021ตามมาอ่านเพราะชอบการใช้สมุดกราฟ เนื้อหาค่อนข้างน้ำเยอะ เขียนวกไปวนมาด้วยประเด็นเดิม ๆ จะบอกว่าเพื่อเน้นย้ำก็ไม่ใช่ เพราะเหมือนไม่มีอะไรจะเขียนแล้วมากกว่า ยังดีที่มีภาพตัวอย่างการใช้งานสมุดกราฟแถมมาให้ด้วย อันนี้ยังพอใช้ได้จริงอยู่บ้าง แต่ที่เหลือค่อนข้าง common sense และรีรันประเด็นเดิมซ้ำ ๆ ตลอดเล่ม non-fiction
Mollie Pan28 reviews13 followersFollowFollowNovember 4, 2018หนังสือมีแต่น้ำ เนื้อหาน้อยมาก อ่านไปก็งงไป บางบทก็ไม่รู้จะสื่ออะไร ส่วนใหญ่ที่เป็นประโยชน์จริงๆมีประมาณ20หน้า แต่สามารถเอามาใช้งานได้ ให้2คะแนนเพราะคาดหวังกับหนังสือไว้เยอะ เห็นเป็นหนังสือขายดี แต่อย่างน้อยก็ทำให้เราอยากจดอะไรในสมุดให้เป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่งขึ้น
BossKunG112230 reviewsFollowFollowDecember 28, 2019ตามที่ reviewer ท่านอื่นพูดเลย คือเนื้อหาน้อยมาก แค่ concept หลักๆคิดว่าใช้แค่หน้าเดียวก็อธิบายได้แบบเหลือเฟือ แถมพออ่านจบแล้ว ยังไม่ได้รู้สึกกระตุ้นว่าใช้สมุดกราฟมันจะช่วยจริงๆหรอ (แต่สุดท้ายก็ใช้ 5555)owned
Top Thanan28 reviewsFollowFollowAugust 22, 2019หลักการแบ่งกระดาษออกเป็น 3 ส่วนจะช่วยทำให้เราสามารถที่จะเรียบเรียงความคิดให้เป็นระเบียบ ช่วยให้จดจำได้ง่าย ทำให้การนำเสนอดูดี รวมถึงการตั้งคำถามซึ่งนำไปสู่วิธีการแก้ปัญหาได้อย่างมีเหตุและผล==KEYNOTE==(1) "กฎ 3 ข้อ" ในการจดโน้ตของคนเก่ง- กฎข้อที่ 1 ให้เปลี่ยนมาใช้ "สมุดกราฟ"- กฎข้อที่ 2 ใส่ "หัวข้อ/ชื่อเรื่อง"- กฎข้อที่ 3 แบ่งหน้ากระดาษออกเป็น 3 ส่วน (2) แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน ซึ่งสมุดแบบต่างๆ มีการแบ่งที่แตกต่างกันตามการใช้งาน ดังนี้ - แบบที่ 1 : สมุดโน้ตของนักเรียนที่สอบติดมหาวิทยาลัยโตเกียว จะใช้ 1 หน้าคู่โดยแบ่งเป็น - ด้านซ้ายมือ (เต็มหน้า) = เนื้อหา - ด้านขวามือ (เต็มหน้าแบ่งครึ่ง) = ประเด็นสำคัญ/สรุป - แบบที่ 2 : สมุดโน้ตของคอร์เนล (Cornell University) จะใช้ 1 หน้าเดี่ยว (แนวตั้ง) โดยแบ่งเป็น - ด้านซ้ายมือ (1/5 ของหน้า) = ประเด็นสำคัญ - ด้านขวามือ (3/5 ของหน้า) = เนื้อหา - ด้านล่างสุด (1/5 ของหน้า) = สรุป - แบบที่ 3 : "พอยต์ชีต (Point Sheet)" ของบริษัทแอคเซนเจอร์ (Accenture) จะใช้ 1 หน้าเดี่ยว (แนวตั้ง) โดยแบ่งเป็น - ด้านบน (1/5 ของหน้า) = หัวเรื่อง - ด้านซ้ายมือ (2/5 ของหน้า) = Point ประเด็นสำคัญ - ด้านขวามือ (2/5 ของหน้า) = Action แนวทางปฏิบัติ - แบบที่ 4 : "ฟ้า-ฝน-ร่ม" ของแมคคินซีย์ (Baker & McKenzie) จะใช้ 1 หน้าเดี่ยว (แนวนอน) โดยแบ่งเป็น ฟ้า = ข้อเท็จจริง (ด้านซ้าย) ฝน = สิ่งที่วิเคราะห์ได้ (ด้านขวา) ร่ม = แนวทางปฏิบัติ (ด้านบน) (3) ประเภทและหน้าที่ของสมุดโน้ต- สมุดโน้ตช่วยจำ : สำหรับการเรียน- สมุดโน้ตช่วยคิด : สำหรับการทำงาน- สมุดโน้ตช่วยถ่ายทอด : สำหรับการนำเสนอ (4) ฝึกใช้คำเชื่อมและลูกศรเพื่อแสดงเหตุและผล(5) ทักษะที่สำคัญ คือ การตั้งคำถามและการสรุป(6) ทักษะการทำความเข้าใจ คือ เข้าใจ => ทำได้ => ถ่ายทอดได้ = การเข้าใจอย่างลึกซึ้ง(7) ใช้กฎเลข 3 คือ ให้สรุปไม่เกิน 3 ประเด็น (8) สมุดโน้ตของคนทำงาน มีไว้เพื่อคัดข้อมูลทิ้ง 99% ให้เหลือแค่ 1% ที่สำคัญที่สุดเท่านั้น (จดโน้ต => คัดทิ้ง => หาข้อสรุปเพียงข้อเดียว)(9) ฝึกถามทวนใน 3 นาทีเพื่อตรวจสอบความเข้าใจและความถูกต้องเมื่อได้รับมอบหมายงานมา(10) พื้นฐานที่สำคัญที่สุดของการศึกษา คือ การคิดวิเคราะห์โดยยึดข้อเท็จจริงเป็นหลัก ซึ่งอาจจะใช้ปากกาต่างสีแยกระหว่าง "ข้อเท็จจริง" และ "ความคิดเห็น" ออกจากกัน(11) ฝึกถามว่า "ทำไม 5 ครั้ง" และใช้ร่วมกันคำเชื่อที่แสดงเหตุผลและลูกศร(12) เขียนสิ่งที่ต้องการจะสื่อแค่ 1 เรื่องโดยใช้หลักการ "ทำน้อยแต่ได้มาก" (Less is More)(13) หลักการทำ "สมุดโน้ตเผด็จศึก"- เขียนหัวเรื่องให้น่าสนใจเหมือนการพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์- ให้เขียนข้อสรุปก่อนเป็นอันดับแรก- เลือกใช้แผนภูมิหรือกราฟที่เหมาะสมThis entire review has been hidden because of spoilers.jp-how-to productivity tk-park-library
Boat3 reviewsFollowFollowJuly 3, 2018ไม่เข้าใจความย้อนแย้งของเนื้อหาหนังสือเล่มนี้อาจจะนำไปใช้ไม่ได้จริง การเรียบเรียงเนื้อหาก็"ห่วย"มาก เนื้อหาซ้ำไปซ้ำมาวนอยู่กับเรื่องกฏทั้งๆที่เป็นแค่การพูดเสริม รวมถึงการขึ้นหัวข้อใหม่แต่ยังเป็นเนื้อหาเดียวกับหัวข้อที่แล้วมีการแทรกคล้ายๆกับขายของอย่างปากกา Pilot รวมถึงนำผลตอบรับของคนที่นำสมุดกราฟมาใช้ใส่ซะจนดูเวิ่นเว้อเน้นขายของหรือทำให้ผู้อ่านประทับใจซะมากกว่าที่งงสุดคือการบอกให้เขียนประเด็นสำคัญไว้ในส่วนที่สอง และเขียนสรุปในส่วนที่สามของกฏสามส่วน แต่พอพูดถึงเรื่องการเขียนหัวข้อกลับบอกให้เขียนประเด็นสำคัญเข้าไปในส่วนนั้นด้วย??? ตกลงจะให้เขียนตรงไหนอะงง จะให้เขียนสองที่เลยก็ไม่เข้าใจว่าจะทำไปทำไม(Illustration หน้า 105)อีกจุดหนึ่งที่หน้า 135 คือบอกให้สรุปไม่เกิน 3 ประเด็นแต่ตัวอย่างสรุปมา 4 ประเด็น ทำไมมันย้อนแย้งจัง หน้า131 บอกว่าทักษะการสรุปคือ วิเคราะห์จนเข้าใจ เรียบเรียงแล้วนำมาถ่ายทอดได้ หน้าถัดมาคือทักษาะความเข้าใจก้บอกว่ามันคือการเข้าใจ ทำได้ ถ่ายทอดได้ ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยต่างกันเลยด้วยซ้ำThis entire review has been hidden because of spoilers.
Nun62 reviews2 followersFollowFollowJuly 31, 2019หยิบเล่มนี้มาอ่าน เพราะอยากรู้เทคนิคการจดโน๊ต พอได้อ่านก็คิดว่าจะลองทำตามดูไม่ได้เสียหายอะไร ในหนังสือกล่าวถึงกฎ 3 ข้อ ในการจดโน๊ต 1. เปลี่ยนมาใช้สมุดกราฟ2. ใส่หัวเรื่อง3. แบ่งหน้ากระดาษออกเป็น 3 ส่วน คือ ข้อเท็จจริง, สิ่งที่วิเคราะห์ได้, แนวทางปฏิบัติหรือข้อสรุป การจดโน๊ตแบบนี้ จะทำให้เราจำและเข้าใจได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และยังมีอีกหลายเทคนิค เช่น - ใช้ปากกาไม่เกิน 3 สี (สีน้ำเงิน = ข้อเท็จจริง , สีดำ = ข้อคิดเห็น , สีแดง = แก้ไข/ตัดสินใจ/สรุป) - จด 1 เรื่อง ต่อ 1 หน้า
Wannimit Saisith3 reviews1 followerFollowFollowJanuary 19, 2019เห็นว่าเป็นหนังสือขายดี + ไปเจอพนักงานที่ Kinokuniya Isetan แนะนำเลยซื้อมาอ่านด้วยความคาดหวังสูง แต่ไม่รู้ว่าเพราะคนแปลแปลไม่ดีหรืออย่างไร หรือต้นฉบับเป็นอย่างนี้ เนื้อหาในเล่มซ้ำไปซ้ำมาเยอะมาก บางประเด็นเขียนในบทต้นๆแล้ว ก็ไปเขียนซ้ำข้างหลังอีก(เข้าใจว่าพยายามขยายความ แต่ก็ขยายน้ำๆ) Main Idea + Concept มีซัก 10 หน้าได้มั้ง ที่เหลือน้ำๆ ชงเอง อวยเอง
Mahitorn20 reviewsFollowFollowDecember 6, 2018ชื่อหนังสือไม่สอดคล้องกับเนื้อหาข้างใน คาดหวังว่าจะอ่านเกี่ยวกับพื้นฐานหรือเทคนิคการใช้สมุดกราฟ ในหลายๆแบบ แต่ในหนังสือเน้นอยู่แค่แบบแบ่ง 3 ส่วนอ่านจบแล้วก็ยังไม่ค่อยรู้สึกว่าสมุดกราฟจำเป็นขึ้นมาเท่าที่ควร
Teerasak99 reviews1 followerFollowFollowJanuary 13, 2019สงสัยมานานแล้วว่าทำไมต้องใช้กระดาษกราฟแบบนี้ อ่านแล้วใช้ประโยชน์ได้ในชีวิต พร้อมทั้งแนะนำคนอื่นได้ต่อไป
จักรพงค์ จันทร์ศศิธร25 reviewsFollowFollowApril 7, 2019ตามแบบหนังสือ ญี่ปุ่น 1 เล่มจะสรุปเรื่องเดียว แบ่งส่วน จดโน้ต ช่วยในการสรุปบทความเเละเรื่องได้ดีจริงๆครับ
Charles Ravanorv5 reviewsFollowFollowMarch 17, 2022เล่มนี้ไม่ใช่เราคนเดียวที่อิหยังวะกับเนื้อหาข้างในแฮะ จุดประสงค์ที่เราซื้อมาอ่านคือหวังอยากดูทริปการจดโน้ตในสมุดกราฟ แต่ดูแล้วก็ยังไม่เข้าใจเท่าไร
DoDo98 reviews19 followersFollowFollowJanuary 11, 2025ค่อนข้างผิดหวังกับหนังสือเล่มนี้ ตรงที่เนื้อหาส่วนที่สำคัญจริงๆค่อนข้างน้อย และเอาวิธีไปปรับใช้ยากเนื้อหาหลักของหนังสือเล่มนี้จะอยู่ที่การจดเลคเชอร์ด้วยวิธี Cornellซึ่งวิธีนี้ค่อนข้างเหมาะกับการจดแบบที่เรียบเรียงเนื้อหาแล้วเอามาสรุปลงอีกที ไม่ได้เหมาะกับการจดเลคเชอร์แบบโดยทั่วไปและหนังสือเล่มนี้ดูเหมือนจะเน้นวิธีนี้วิธีเดียว แล้วเอามาขยายความซ้ำไปมาจนค่อนข้างน่าเบื่อโดยส่วนตัวไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ที่ตัวหนังสือเล่มนี้ไม่แนะนำให้จดเลคเชอร์ด้วยวิธีอื่น ทั้งๆที่เป็นวิธีการจดเลคเชอร์ที่ดีอีกวิธีหนึ่ง แต่อาจจะไม่ได้สอดคล้องกับสมุดกราฟ (เช่น mind map etc.) รวมถึงการจำกัดการใช้สีปากกา (และแนะนำยี่ห้อมาให้เสร็จสรรพ จนรู้สึกโฆษณาเกินควร) เลยมองว่าผู้เขียนเจาะจงหรือใช้เฉพาะแค่มุมมองของตนเองมากเกินไปรึเปล่าคิดว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ค่อยเหมาะถ้าหากอ่านแล้วต้องการหาวิธีพัฒนาการจดเลคเชอร์ของตัวเองเท่าไหร่ แต่เหมาะสำหรับคนที่ชอบวิธีจดแบบ Cornell อยู่แล้ว และหาแนวการจัดการการจดโน้ตวิธีนี้เพื่อให้โน้ตดูเป็นระเบียบ เรียบร้อยสวยงามมากขึ้นThis entire review has been hidden because of spoilers.
JFK63 reviews3 followersFollowFollowDecember 30, 2019เห้อ....... เล่มนี้เป็น How to วิธีจดโน๊ตที่ดีนะแต่สรุปไม่เกิน 5 หน้าก็พอ215 หน้า เป็นน้ำไปซัก 2002.7🌟 สำหรับความคุ้มค่า3.5🌟 สำหรับเนื้อหาสำคัญThis entire review has been hidden because of spoilers.