Jump to ratings and reviews
Rate this book

学びを結果に変えるアウトプット大全

Rate this book
คุณคิดว่า "คนอ่านหนังสือเดือนละ 3 เล่ม" กับ "คนอ่านหนังสือเดือนละ 10 เล่ม" ใครจะพัฒนาได้มากกว่ากัน? คำตอบของคนส่วนใหญ่คงคิดว่า คนที่อ่านหนังสือมากก็จะมีความรู้มากพอให้นำไปพัฒนาตนเอง แต่ที่จริงแล้วการอ่านหนังสือคือการนำเข้าข้อมูล หรือ Input ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่การจะชี้ชัดว่าคนเราได้เกิดการพัฒนาตนเองไปบ้างแล้วหรือยังนั้นไม่ได้ขึ้นกับปริมาณ Input หากแต่เป็นประมาณการของการ "ปล่อยของออก" หรือการสร้าง Output ต่างหาก

หนังสือเล่มนี้ จะชวนทุกคนที่มีใจมุ่งมั่นอยากพัฒนาตนเอง ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิต มาร่วมกันลงรายละเอียดลึกไปใน Output หรือ "ศิลปะของการปล่อยของ" ผ่านหลักการสำคัญสามข้อ "พูด - เขียน - ทำ" ที่จะเข้ามาประกอบสร้างร่วมกับการเติม Input เข้าไป จนกลายเป็นวงจรแห่งการเรียนรู้และพัฒนาตนเองที่สมบูรณ์

Unknown Binding

First published August 1, 2018

80 people are currently reading
396 people want to read

About the author

樺沢 紫苑

32 books3 followers

Ratings & Reviews

What do you think?
Rate this book

Friends & Following

Create a free account to discover what your friends think of this book!

Community Reviews

5 stars
142 (43%)
4 stars
124 (38%)
3 stars
47 (14%)
2 stars
5 (1%)
1 star
5 (1%)
Displaying 1 - 30 of 82 reviews
Profile Image for Tum Kanapon.
146 reviews14 followers
July 22, 2020
Output คือ….
อะไรที่เอาออกจากสมองเรา ได้แก่ การพูด การเขียน การลงมือทำ
ส่วน Input ก็คือ การฟัง การอ่านนั่นเอง

การเขียนดีกว่าพิมพ์ (Analog first then Digital)
การเขียนด้วยมือ ทำให้เราตกตะกอนได้ดีกว่า (แม้มันจะช้ากว่า) อันนี้ผมเองก็ค่อนข้างเห็นด้วยทีเดียว เพราะผมเองก็ลองจัดการความคิดมาหลายวิธีแล้ว ทั้งเขียนในมือถือ พิมพ์ในคอม แต่ช่วงหลังที่ผมได้อ่านหนังสือเรื่อง Bullet Journal แล้วกลับมาเขียนบันทึกในสมุดอีกครั้ง ผมก็พบว่าสำหรับผมเองแล้วการเขียนด้วยมือ ทำให้เราตกตะกอนสิ่งที่อยู่ในหัวได้ดีสุด
แต่การพิมพ์ก็มีประโยชน์ในอีกแบบเช่น การค้นหา การเก็บ หรือการแบ่งปันที่ง่ายขึ้น (อย่างที่เขียนใน blog นี้)

สัดส่วนที่เหมาะสมคือ Input 30: Output 70
อันนี้คือสัดส่วนที่ผู้เขียนแนะนำ จากการค้นพบของเขา ถ้าตีความคือ เน้นสรุปให้มากกว่าเอาเข้า

ความสม่ำเสมอคือ “หัวใจ”
ผู้เขียนเชียร์ให้เราหมั่นปล่อยของให้สม่ำเสมอ (ผมคิดว่าหนังสือทุกเล่ม ถ้าเป็นอะไรที่เกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง “วินัย” คงเป็นธีมหลักที่ทุกคนเขียนเหมือนกัน)
โดยการปล่อยของที่ผู้เขียนแนะนำคือ เขียนบันทึกประจำวัน เขียนลง Social network (Facebook/Twitter) การเขียนลง Blog

กฎ 100:300:1,000
ผู้เขียนบอกว่าตัวเลขนี้คือจำนวนบทความที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง 100 บทความแรกจะทำให้เรามีผู้อ่านประจำ 300 บทความทำให้ Search engine แนะนำ ส่วน 1,000 บทความจะทำให้เราเป็น Blog ยอดนิยม
[อันนี้ผมคิดว่า ถ้าจะเดินทางสาย Blogger/ Reviewer ก็เป็นตัวเลขที่น่าเอาไว้ยึดเหนี่ยว]

See one / Do one / Teach one
อันนี้ไม่ได้มีในหนังสือ แต่เป็นคำที่อยู่ในหัวผม ซึ่งผมคิดว่ามันตรงกับบริบทกับหนังสือเล่มนี้
หลายปีก่อน มีคุณหมอจาก Harvard medical school มาดูงานที่โรงพยาบาลที่ผมทำงานอยู่ แล้วเขาพูดกับผมด้วยประโยคนี้ว่า “ See one/ Do one/ Teach one” เขาบอกว่านี่คือสิ่งที่นักเรียนแพทย์ที่นู่นใช้กัน
See one คือ การที่เราได้เห็นเคส หรือ อ่านหนังสือเกี่ยวกับเคสนั้นๆ เช่น ได้เข้าไปสังเกตการผ่าตัดไส้ติ่ง
Do one คือ การที่เราได้ทำเองกับมือ เช่น เราได้ผ่าตัดไส้ติ่งด้วยตัวเองเป็นมือหนึ่ง
Teach one คือเราได้สอนรุ่นน้องคนอื่นๆ ว่าการผ่าตัดไส้ติ่งเป็นอย่างไร จริงๆแล้วกระบวนการนี้สำคัญมากๆ ถ้าเรายังไม่สามารถสอนใคร หรือยังไม่ได้สอนใครจริงๆ ก็ยากที่เราจะเข้าใจเรื่องนั้นจริงๆ
ถ้ามาคิดดูผมก็คิดว่าจริงทีเดียว สมัยตอนอยู่มัธยม ผมก็สังเกตพบว่า วิชาไหนที่เราได้สอน ได้ติวเพื่อน วิชานั้นเราก็จะทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว หรืออะไรที่เราได้พูดแบ่งปันบ่อยๆ เราก็จะรู้สึกจำแม่น เข้าใจมันลึกซึ้งมากขึ้น

หนังสือ Output เล่มนี้ก็นำแนวคิดนี้ มาทำให้เป็นรูปเป็นร่าง แล้วก็ทำให้ผมรู้สึกได้ทบทวนตัวเองอีกครั้ง ว่าเราอย่ามัวแต่ input มากเกินไป จนไม่ได้ output ไม่งั้นเราอาจเสียเวลาเปล่าๆ เหมือนคนอ่านหนังสือวิธีการว่ายน้ำ แต่ไม่ได้ลงว่ายน้ำจริงๆ ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร

จากบล็อคที่เขียน
Profile Image for nananatte.
429 reviews138 followers
October 10, 2022
ถึงคุณเป็นคนวิเศษขนาดไหน แต่ถ้าไม่รู้จักสร้าง Output คนก็ไม่มีวันรู้ถึง 'เสน่ห์'​ หรือ 'ความสามารถ'​ ของคุณ

จิตแพทย์ชิออน คาบาซาวะ เปิดโลกการทำงานของสมอง ควบคู่กับการลงมือสร้างผลงานออกมาให้เห็นเป็นที่ประจักษ์

The Power of Output เหมือนจะเป็นหนังสือพัฒนาการทำงาน แต่ที่จริงแล้ว Output ใช้ได้กับทั้งสุขภาพและความสัมพันธ์ และการสร้าง Output สม่ำเสมอทำให้เราความจำดี อารมณ์ดี และไม่เครียดด้วย

คุณหมอเปิดเล่มมาด้วยการเล่าให้ฟังว่าตัวคุณหมอเองผลิตผลงานมากขนาดไหน
คร่าวๆ คือ
โพสต์ facebook ทุกวันมา 8 ปี
อัปโหลด youtube ทุกวันมา 5 ปี
เขียนหนังสือ 3 ชม. ทุกวัน มา 11 ปี
ออกหนังสือใหม่ปีละ 2-3 เล่มมา 10 ปี
เปิดสัมมนาใหม่ ทุกเดือน เดือนละ 2 ครั้ง มา 9 ปี

... ปริมาณผลงานเยอะเหนือมนุษย์นี้ ตีคู่มากับการไม่ทำงานหลัง 6 โมงเย็น
ดูหนังเดือนละ 10+ เรื่อง
อ่านหนังสือเดือนละ 20+ เล่ม
ฟิตเนส 4-5 วันต่อสัปดาห์
สังสรรค์ 10+ ครั้งต่อเดือน
เที่ยวตปท ปีละ 30+ วัน

คุณหมอผลิตงานได้มากกว่าคนทั่วไปไม่รู้กี่เท่า โดยรักษาคุณภาพชีวิตของตัวเองได้ด้วย คนที่ทำได้จริงมาเขียนเล่าให้ฟังอย่างละเอียดว่าเขาทำได้ยังไง หนังสือเล่มนี้เลยอ่านสนุกมากๆ

ที่น่าทึ่งคือ ความสามารถในการอธิบายและการยกตัวอย่างเปรียบเทียบ คุณหมอเก่งตรงจุดนี้มากๆ อ่านแล้วทั้งเปิดโลก อ้าปากค้าง เห็นภาพ และขำไปพร้อมๆ กัน

และคุณหมอคงคิดว่าที่แกอธิบายมายังเห็นภาพไม่พอ ถึงได้จัด infographic มาให้ทุกบท ซึ่งทำให้ยิ่งเห็นภาพชัดเข้าไปอีก

หลายบทอ่านแล้วขำมากๆ รู้สึกได้เปิดกะลาของตัวเองเลยค่ะ โดยเฉพาะเวลาคุณหมออธิบายผ่านโครงสร้างการทำงานของสมองหรือฮอร์โมน... ก็แบบ... เราจะไปเถียงอะไร ในเมื่อสมองมันก็ทำงานแบบนี้อ่ะ 555

ต้นเล่มอธิบาย กฎ 4 ข้อของ Output
จากนั้นตลอดเล่ม จะแบ่งเป็น 80 บทย่อย (ละเอียดสุดๆ)​ เพื่ออธิบายการสร้าง Output 3 ประเภท อันได้แก่ การพูด -​ เขียน -​ ลงมือทำ

ใครทำงานช้า ผลงานไม่ออก รู้สึกตัวเองขี้เกียจ ขาดแรงบันดาลใจ ชอบผลัดวันประกันพรุ่ง เล่มนี้อธิบายทุกอย่าง simple กว่านั้น ทั้งยังไม่ต้องใช้วินัยหรือพลังใจ ก็แค่เข้าใจสมองและฮอร์โมนของตัวเอง ในเล่มมีงานวิจัยสนุกๆ เยอะมาก หลากหลายด้วย ส่วนตัวชอบงานวิจัยเชิงพฤติกรรม

เราชอบเรื่องการตัดสินใจเดินหมากภายใน 30 วิ vs 30 นาที ของนักเล่นหมากรุก / เรื่องร้องไห้เพื่อขับฮอร์โมนความเครียด กระทั่งแนะนำให้หาหนังเรียกน้ำตามาดูบ่อยๆ สิ / เรื่องเมล็ดแอปเปิ้ล 2 เมล็ดในสมอง :-)​ และอีกสารพัดเรื่อง

เล่มนี้ ไม่ใช่หนังสือที่ควรเร่งอ่านให้จบไว
แต่เป็นหนังสือที่ท้าทายเราให้ลองหยิบบทย่อยที่ชอบไปลองทำตาม

สนุกมาก
คุณหมอซนสุดๆ
มีไปตามเล่ม The Power of Input ต่อแน่นอนค่ะ
Profile Image for Larp.
63 reviews5 followers
September 11, 2023
ก่อนอ่านคิดว่าจะเป็นหนังสือที่อ่านยาก มีความเป็นวิชาการสูง แนวๆเพิ่ม productivity แต่เนื่องด้วยตัวเองก็มีปัญหาว่าอ่านหนังสือไปหลายเล่ม และคิดว่าหนังสือเล่มนั้นดีมีประโยชน์มากๆ อยากจะแนะนำ อยากเอาไปเล่า อยากเอาไปปฏิบัติตาม แต่สุดท้ายแค่ระยะเวลาสั้นๆก็ลืมเนื้อหาไม่ซะส่วนใหญ่ เลยลองเปิดใจหยิบ power of output มาอ่านดู

ปรากฎว่าเป็นหนังสือที่อ่านง่ายกว่าที่คิดมาก มีภาพประกอบ อธิบายเข้าใจง่าย นำไปปฏิบัติได้แทบจะทันที (รู้งี้ น่าจะได้อ่านตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน)​ โดยหนังสือจะเน้นการสร้าง output ในเรื่อง การพูด-การเขียน-การทำ ซึ่งจริงๆแล้วไม่ได้มีประโยชน์ต่อการเรียนหรือการทำงาน การสร้าง productivity​เท่านััน แต่ยังสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการใช้ชีวิตให้มีความสุขมากขึ้น เช่น การสื่อสาร���ารสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การผ่อนคลายความเครียด การดูแลสุขภาพกายและจิต ซึ่งผู้เขียนเป็นจิตแพทย์ได้มีความตั้งใจว่าอย่างน้อยหนังสือเล่มนี้ทำให้คนป่วยลดลงสัก1คน ก็มีความยินดีมากแล้ว ซึ่งผมเชื่อจริงๆว่าผู้เขียนทำได้สำเร็จ

หลังอ่านจบ สิ่งใหม่ๆอย่างแรก ที่ตัวเองจะทำเพิ่มขึ้นคือ ซื้อสมุดโน้ต เพื่อฝึกการเขียน การจด ไม่ว่าจะเป็นสรุปเนื้อหาจากหนังสือที่ประทับใจ การบันทึกประจำวัน การทำ to do list และอื่นๆ

แนะนำหนังสือPower of Output เล่มนี้สำหรับทุกคนเลยครับ
Profile Image for Chanwit Chaimeesuk.
30 reviews4 followers
July 4, 2020
การอ่านหนังสือเล่มนี้ รู้สึกว่าแตกต่างจากเล่มก่อนหน้านี้ อย่างหนังสือ "เทคนิคจำแบบไม่ต้องจำที่จิตแพทย์อยากบอกคุณ" ของผู้เขียนท่านเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่มีเนื้อหาเหมือนกัน พูดถึงเรื่องการส่งออกข้อมูลเหมือนกัน สำหรับข้อแตกต่าง คือ เล่มนี้เน้นเรื่องการส่งออกข้อมูล มีภาพประกอบทำให้เข้าใจง่ายขึ้้น มีวิธีปฏิบัติเป็นขั้นตอนที่ชัดเจนขึ้น หลังจากที่ได้อ่านแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะนำวิธีต่าง ๆ มาใช้ปฏิบัติจริง
เล่มนี้ผมใช้หลักที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มก่อน คือ อ่านสารบัญ แล้วเปิดผ่านไปอ่านเนื้อหาส่วนที่สนใจ ทำให้ผมได้รู้ส่วนที่สนใจ ส่วนที่อยากรู้ได้เร็ว ทำให้การอ่านหนังสือเล่มนี้ ผมใช้เวลาอ่านไม่นานแต่เข้าใจเนื้อหา
Profile Image for anchi.
483 reviews103 followers
May 23, 2022
⭐️4/5
身為一個內容創作者,這本書提出了不少實用的建議,尤其是以腦科學的角度出發,讓書中的論點顯得更有說服力,同時作者也運用了書中的訣竅來呈現內容,像是圖像化和重點整理都讓讀者能夠輕鬆吸收知識。可惜的是這本書有些部分對我來說有點不太實際,像是每天更新文章和將想法寫在100張小卡上等。另外可能是因為希望藉由小章節來增加內容吸收的關係,有些章節像是為了寫而寫,讓整體閱讀有點小打折扣。

3個「最高學以致用法」中的重點:
1. 輸出與輸入的黃金比例是7:3,也就是需要花2倍的時間輸出;
2. 正面情緒的重要,包括對周遭心懷感謝、時常微笑、正向鼓勵等;
3. 比起空想,不如開始養成輸出的習慣,從每天15分鐘開始製造正向迴圈。
Profile Image for Blake.
222 reviews11 followers
November 19, 2018
今時の浅く広く、つまみ食いのように読みやすく、を狙った本です。読みやすいとはいえ、タイトルから予想する内容とはだいぶ違って、購入するまでもなかったというのが正直な読後感です。
「アウトプット」の仕方に関する本だと思っていたのに、前半はアウトプットと関係ないように思われる「挨拶する」「断る」「褒める」「叱る」「謝る」のような項目が続いて、後半も「アウトプット大全」と謳っている割には、具体的な「アウトプット」方法に関する内容が少ないです。
内容が役に立たないかと聞かれたら、いや、役に立つものもあります。真新しい内容で気づきに富んでいるかと言われたら、いや、どこかで聞いた話だったりという箇所が多いです。1項目2ページに詰めて書こうとするあまり、必然的に内容が薄っぺらいものになってしまい、論理は短絡的な印象となってしまい、結局は信憑性が落ちてきます。

面白いと思った箇所のひとつに「書評の書き方」がありました。「読む前の自分・状況」ー>「本の内容で関連するところ」ー>「それを踏まえたアクション、今後こうしたいことなど」という順に沿って書くこと。レビューを書く時に「内容を褒めるか、批判するか」という二者択一ではなく、そもそもなぜその本を手に取ったのか、どんな収穫があったのか・なかったのか、そしてそれを受けてどんな行動・変化を起こしていくのか、というようにより内容を充実させた方が書く人にとっても読む人にってもメリットがあるはずです。(とは言いながら、自分はレビューはやっぱり「好きだった!!」「嫌だった!」の一本調子です、、、)

結局は「とにかくアウトプットしましょう」ということなので、実践すれば何かしら効果はあると思いますが、わざわざ270ページの本に膨らませる必要はなかったと思います。本人も企画書を書く段階でページ数を決めていると説明していますが、それだと内容があまりないのに文字・ページ数を無理に稼ごうとする、というアプローチに陥りやすくなってしまい、本末転倒な気がします。売れてしまっている作家さんなので仕方ないかもしれませんが、出版社の人には厳しくメスを入れていただきたいところです。(まずこのレビューにメスを入れたらどうなの、と突っ込まれたら返す言葉もありません。)
Profile Image for Chaipat Choo.
93 reviews4 followers
June 20, 2020
คีย์หลักของเนื้อหาคือ การเรียนรู้ด้วยการอ่านหรือฟังไม่เพียงพอ แต่ต้องลงมือทำด้วย
การลงมือทำนั้นมีหลายวิธี เช่น การพูด การเขียน
เป็นฮาวทูที่ดีมากๆอีกเล่ม มีเทคนิคที่ไม่เคยรู้อยู่หลายเรื่อง อาจารย์ชิออนเขียนได้กระชับ ไม่ยืดยาว ดังนั้นหนึ่งเรื่องจะอ่านจบในหน้ากระดาษเพียงสองหน้า รูปเล่มทำให้เรื่องราวน่าอ่านและอ่านรวดเดียวจบ 5/5 คะแนน

ขอเสียเรื่องเดียวคือ ราคาหนังสือที่ขึ้นเลขสี่ 420 บาทซึ่งค่อนข้างสูง ถ้าเป็น 320-350 น่าจะโอเคกว่า
Profile Image for Tanan.
234 reviews47 followers
October 2, 2020
เล่มนี้ดีมาก เป็นหนังสือแนวพัฒนาตัวเองที่ดีมาก ทั้งในแง่อ่านง่าย เนื้อหาที่จับต้องได้ และเอาไปใช้ได้จริง
Profile Image for Kanthida Ann.
123 reviews24 followers
October 14, 2021
เพิ่งเคยอ่านหนังสือของคุณ Shion Kabasawa อ่านไปแค่บทนำ ก็เชื่อมั่นแล้วว่าหนังสือเล่มนี้ต้องดี เปิดผ่านไปเห็นสารบัญที่เหมือนเป็นสรุปของหนังสือเล่มนี้ยิ่งตื่นตาตื่นใจ เป็นหนังสือ 334 หน้าที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อหาที่สามารถนำไปใช้ได้จริง
.
มี 5 chapter
Rules,Talk,Write,Do,Training
.
Rules
Input (อ่าน,ฟัง) ---> Output(พูด,เขียน,ปฏิบัติ)
ต้องมี feedback เพื่อปรับปรุง input ครั้งถัดไปเป็นบันไดวนแห่งการพัฒนาตนเอง
ก่อนหน้าจะอ่านหนังสือเล่มนี้เราก็รู้จักอยู่แล้ว ฟังพูดอ่านเขียน แต่ก็ไม่เคยรู้ว่ามันมีหลักการดีๆแบบสามารถลองใช้ได้จริงเพื่อดึงศักยภาพของตัวเองออกมาได้เยอะแยะขนาดนี้
.
สิ่งที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้คือ
1.ข้อดีของการปฏิเสธให้เป็น จะช่วยให้มีเวลาเป็นของตัวเองมากขึ้น ได้ใช้เวลาและพลังงานกับงานที่ควรทำจริงๆ จิตใจปลอดโปร่งไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ ส่งผลให้ความเครียดลดลง และมีเทคนิคการปฏิเสธที่เอาไปใช้จริงได้ด้วย
2.ขอบคุณ ทำให้เกิดการหลั่งสารสื่อประสาท 4 ตัว คือ Dopamine(DA), Serotonin(5HT),Oxytocin ,Endorphin
5HT+Oxytocin ทำให้รู้สึกสงบ,ผ่อนคลาย
Oxytocin,Endorphin เพิ่มภูมิคุ้มกันโรคได้
ในเมื่อมีข้อดีของการขอบคุณมากมายแบบมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ เราเริ่มขอบคุณให้มากขึ้นหลังจากที่อ่านจบบทนี้เลย
3.พิมพ์ให้เร็ว ฟังก์ชันการแทนที่ข้อความ เราเอาไปใช้เลย พวกชื่อ ที่อยู่ เบอร์ email ที่ต้องพิมพ์เองบ่อยๆ ในอนาคตพจนานุกรมตัวย่อคงเพิ่มขึ้นอีกแน่ๆ เป็นฟังก์ชันที่มีประโยชน์จริงๆ
4.Presentation slide ใช้ outline ใน MS-word ก่อนที่จะลงมือทำ slideจริง --> จะช่วยลดเวลาที่ต้องคิด slide ถัดไปได้
5.จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง Multitask ทำให้เสียเวลาในการทำงานเพิ่มขึ้น 50% ควรจดจ่อกับงานตรงหน้าแล้วสร้าง output ที่มีประสิทธิภาพออกมามากกว่า
6.ท้าทายตัวเอง หลังอ่านจบบทนี้เรามีเหตุการณ์ที่ต้องออกจาก comfort zone พอดี ลังเลว่าจะเอาไงดี แต่เมื่อคิดๆดูแล้วมันอยู่ใน learning zone มันทำให้เราตื่นเต้น อยากลองทำ อยากเรียนรู้ ไม่ได้กังวลหรือกลัวอะไร ดังนั้นเราตัดสินใจก้าวออกจาก comfort zone เพื่อลองทำเลย
.
สิ่งที่ตั้งใจว่าจะนำไปลองทำในอนาคต
1.เมื่อต้องการสร้าง idea จะลองเขียนใส่การ์ดดู เพื่อระดมสมองและเค้น idea ในการผลิตผลงานออกมาให้ได้มากที่สุด คิดว่าจะลองใช้ตอนจะเขียนบทความหรือทำงานที่ต้องคิดเอง ไม่ใช่การรีวิวจากเรื่องที่เราไปฟัง+ดูมา
2.เมื่อเปิดอ่าน line/email แล้วให้ตอบกลับทันที เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาคิดแล้วคิดอีกทำให้เสร็จไปเลยดีกว่า ถ้ายังไม่สามารถตอบกลับได้ในทันที ให้ตอบกลับไปก่อนว่าจะให้รายละเอียดหรือคำตอบของเรื่องนี้ได้ตอนไหน
3.สอน ถ้ามีโอกาสได้เป็นผู้บรรยายต้องไม่ปฏิเสธแต่ควรตอบตกลง ถ้ามีโอกาสมาแบบนี้จริงแล้วงานเหมาะสมกับ Job description เรา จะไม่ปฏิเสธงานเลย เพราะรู้แล้วว่าการสอนคือการเรียนรู้และเป็นเทคนิคในการสร้าง outputที่ดีที่สุด ช่วยใ��้เราพัฒนาตัวเองได้รวดเร็ว คนที่สอนคือคนที่ได้กำไรมากกว่าคนที่เรียน ช่วยปรับทัศนคติในการทำงานของตัวเองได้เลย
4.ยิ้ม เพิ่มการหลั่ง DA, 5HT,Endorphin ช่วยลด cortisolและเพิ่มการทำงานของ PNS
เพราะฉะนั้นทุกเช้าขณะแต่งตัวให้ลองยกมุมมากขึ้นหน่อย 😆
5.ออกกำลังกายแบบ cardio ครั้งละ 1 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ช่วยทำให้เซล์สมองเกิดใหม่มากขึ้น ความจำดีขึ้น หัวดีขึ้น และเพิ่มการหลั่ง DA ส่งผลให้ 1.มีสมาธิ 2.ความสามารถในการจดจำ 3.เรียนรู้ 4.แรงบันดาลใจ เพิ่มมากขึ้นด้วย จะทำให้เราพัฒนาตัวเองได้เร็ว จากนี้เราก็ต้องไปค้นหาการออกกำลังกายแบบ cardioที่เหมาะกับเราเอง จะได้มีกำลังใจในการทำต่อเนื่องและสนุกไปกับมันด้วย
.
.
.
เพิ่มเติม ยังมีอีกนิดหน่อยที่อยากจะบันทึกไว้ด้วย 55555
Talk
-พูดคุยกับคนอื่น จำนวนครั้งที่พบปะพูดคุยกันสำคัญกว่าเนื้อหา เพราะฉะนั้นให้เอ่ยทักไปก่อน คุยเรื่องอะไรก็ได้
-ถกเถียง ถ้าเรามีหน้าที่บรรยาย ก็จะสามารถคาดการณ์กับคำถามต่างๆที่อาจจะถูกถามตอนที่เรานำเสนอ การเตรียมข้อมูลให้พร้อมจะเป็นอาวุธในการคัดค้านความเห็นที่แตกต่าง เราก็เคยรับหน้าที่บรรยาย รู้สึกตื่นเต้นและกังวลทุกครั้งแต่ไม่เคยคิดถึงมุมนี้เลยว่าสามารถแก้ไขความกังวลได้อย่างตรงจุดด้วยการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการถกเถียง
-ปรึกษา ถ้ามีเรื่องกังวล ให้รีบปรึกษาคนอื่นก่อนจะสายเกินไป เพื่อนแท้มีแค่ 3 คน(สำหรับเราน่าจะเป็น 3 กลุ่ม) 1.เพื่อนที่สนิทกันมานาน 2.เพื่อนแท้ในที่ทำงาน 3.เพื่อนแท้ที่ชอบอะไรเหมือนกัน คนบางคนสนิทกันแต่ก็ไม่ได้เหมาะกับการคุยปัญหาของเราทุกๆเรื่อง เพราะฉะนั้นก็ควรเลือกคนที่เราไว้ใจได้ด้วยจะได้ไม่ต้องกังวลหลังเลือกปรึกษาคนคนนี้
-ดุ For you not For me
-โทรศัพท์ VS email/text/line
Write
การเขียนจะกระตุ้น RAS : Reticular Activating system จงตื่นตัว! จงระมัดระวัง! เราจะเพิ่มการตั้งสมาธิ เริ่มต้นการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างเต็มที่ จะช่วยดึงความสามารถของสมองออกมาได้มากที่สุด
-เขียนด้วยมือ จดแทรกลงไป ค้นหาประเด็นสำคัญจากการอ่านหนังสือ 1 เล่ม *ควรเตรียมปากก+highlightไว้ตอนอ่านหนังสือด้วย
-เทคนิคการเขียนบทความให้เก่ง = อ่าน+เขียนให้เยอะ
-ตั้งเป้าหมายระดับยากเล็กๆ เพื่อให้ DA หลั่งออกมา จะเกิดแรงบันดาลใจในการทำให้สำเร็จ ถ้าเราตั้งเป้าหมายยากเกินไป ในใจคงคิดว่าทำไม่ได้หรอก
Do
-การทำอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ DA หลั่งออกมา"ง่าย"ขึ้น เมื่อทำสำเร็จการได้รับรางวัลก็จะทำให้ DA หลั่งออกมา"มาก"ขึ้น การทำแบบสนุก+ทำซ้ำๆจะทำให้เราทำงานได้อย่างต่อเนื่อง
-เป็นผู้นำ
งานที่เรา "อยากทำ" ---> DA หลั่ง
งานที่เราถูก "บังคับ" ให้ทำ ---> cortisol หลั่ง
อยู่ที่ความคิดและวิสัยทัศน์ของเรา ว่าจะคิดและทำออกมายังไงดี
Profile Image for Mo Melody.
194 reviews14 followers
July 3, 2022
เป็นคนชอบเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัว เมื่อก่อจะคิดว่ายิ่งเราเสพสิ่งที่เราอยากรู้มากเราก็จะได้มาก แต่มาเห็นคำโปรยหนังสือเล่มนี้ "คุณคิดว่าคนอ่านหนังสือ 3 เล่มต่อเดือน vs อ่าน 10 เล่มต่อเดือน ใครจะพัฒนาได้มากกว่ากัน"
หนังสืออ่านเข้าใจง่าย อธิบายการเรียนรู้ที่นอกจากเราจะ input (อ่าน &ฟัง) แล้ว เราจะพัฒนาได้เราต้อง มี output (พูด&เขียน)ด้วย แบ่งเป็น in 3 : out 7 หนังสือแบ่งเป็น เรื่องหลักๆ out put โดนการพูด (อธิบาย หรือสอน) โดยการเขียน การลงมือทำ และการฝึกทำ output
เป็นฮาวทู ที่อ่านไม่เบื่อ ทั้งนี้ไม่ได้กล่าวถึง output ของการพัฒนาตนเองในแง่การเรียนรู้เพียงอย่างเดียว แต่หนังสือได้บอกเล่าในแง่ของ ความสัมพันธ์กับผู้คนด้วย นำไปปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวันเป็นอย่างดี เช่น วิธิชมให้อีกฝ่ายไม่เหลิงอย่างได้ผล

อ่านจบแล้วมีความรู้สึกอยากจะทำ output เพิ่มซึ่งได้ผลนะ ก่อนหน้าที่จะอ่านเล่มนี้จบ เราใช้เทคนิคการเขียนรีวิวหนังสือ จากเล่มนี้ กลับไปแก้การเขียนรีวิวเล่มก่อนหน้า รู้สึกว่าทำให้จำหนังสือและตกตะกอนสิ่งที่ได้จากการอ่านมากกว่า การเขียนรีวิวปกติที่เรารีวิว (ส่วนใหญ่เน้นพรรณนาโวหาร บรรยายความรู้สึกหลังอ่านหนังสือ คิดว่าจะพยายามและนำไปปรับใช้ สร้าง output ให้ได้ในทุกๆวัน ฮึบ!☺️
Profile Image for Surattikorn.
124 reviews7 followers
September 3, 2021
ก่อนหน้านี้ผมพยายามอ่านให้เยอะ เรียนให้เยอะ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็น Input
แต่หนังสือเล่มนี้บอกว่าสิ่งที่สร้างผลกระทบกับชีวิตหรือพัฒนาตัวเราได้มากกว่า คือ Output
หนังสือแนะนำให้สัดส่วน Input : Output = 3:7

โดยหนังสือจะย้ำให้เห็นแผนภาพความสัมพันธ์ระหว่าง Input, Output และ Feedback
- Input ต้อง "เลือกรับรู้" หนังสือไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก เพราะมีหนังสืออีกเล่มชื่อ Input ที่เขียนโดยผู้เขียนคนเดียวกัน
- Output หนังสือแบ่งออกเป็น การพูด การเขียน และการลงมือทำ ซึ่งครอบคลุมในหลายประเด็น มีคำแนะนำที่น่าสนใจที่สามารถนำมาปรับใช้ได้มากมาย
- Feedback เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนา Input, Output ให้ดีขึ้น เช่น ถ้าเป็นงานเขียนก็แชร์ใน Social Network ของเรา หรืออาจหาคนที่ให้คำแนะนำเราได้

นอกจาก 3 ส่วนนี้หนังสือยังเน้นย้ำเรื่องการตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย ความสนุก และความสม่ำเสมอด้วย

โดยรวมแล้วหนังสือเล่มนี้อ่านง่าย อ่านได้เร็ว แบ่งเป็นหัวข้อสั้น ๆ 2-3 หน้า มีภาพประกอบเยอะ มีสรุปสั้น ๆ และไฮไลต์ส่วนสำคัญมาให้เลย ส่วนตัวแล้วผมชอบหนังสือเล่มนี้นะครับ และคงต้องหยิบมาดูคำแนะนำแต่ละส่วนซ้ำ ๆ อีกหลายครั้ง

อ่านจบแล้วผมคงต้องจัดสรรเวลาใหม่ ต้องสร้าง Output ให้มากขึ้น แชร์ให้ผู้อื่นได้อ่านได้เห็นผลงานเพื่อรับ Feedback และที่สำคัญต้องทำทุกวัน
Profile Image for ManyMilds.
62 reviews10 followers
January 31, 2022
ชอบที่เขานำเสนอไอเดียของการทำ
Input > Output > Feedback แล้ววนเป็นขั้นบันไดขึ้นไป
จริงๆแล้ว ไอเรื่องการผลิตบางสิ่งออกมาจากข้อมูลที่เราเสพออกมาเป็นชิ้นเป็นอันมันก็เป็นวิธีการที่ถูกนำเสนอมาตลอด บางอย่างเราก็ทำอยู่แล้วเช่นการอ่านหนังสือแล้วเขียนรีวิว หรือหากไม่รู้จะเริ่มอย่างไรก็มีเทคนิคการกำหนดสร้างโครงบทความเป็นเค้าโครงช่วย หรือเทคนิคเริ่มต้นการจะทำพรีเซ็นพาวเวอร์พ้อยท์ด้วยการเขียน overall layout ก่อนเปิดโปรแกรม ข้อดีของนักเขียนที่เก่งคือ เล่มนี้ช่วยนินามกระบวนการ ช่วยตบให้มันเข้าที่เข้าท่า และถ่ายทอดอธิบายให้คนทั่วไปนำไปใช้งานได้ง่ายขึ้น
.
เป็นหนังสือสอนเทคนิคที่อ่านง่ายอ่านสนุก
ถึงบางช่วงจะหงุดหงิดว่าคนเราต้องเค้น output ออกมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอชีวิต แต่ดีค่ะ คนชอบทำงานมากๆ คนอยากพัฒนาตัวเองแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง และสายเท้นครีเอเตอร์น่าจะชอบเล่มนี้
Profile Image for CJR.
37 reviews
March 24, 2020
A collection of 2 page essays about the benefits of output and different ways to increase our output. I read this to get some ideas about how to explain the benefits of output in Japanese to my own students. In the process, I picked up some good ideas about output for myself. There is some repetition and some self promotion in the book, but overall it was a good read for me (content+Japanese practice). Maybe a little too obvious for a native speaker of Japanese. The diagrams were well designed.
Profile Image for kiranguyen2512.
16 reviews13 followers
March 22, 2020
アウトプットについては以前DAIGOの本を読んで色々学んだ。そのため、今回この本を購入して、自分が期待していたのは、様々アウトプット術をご紹介する本であると。


そして読み終わってこう思った。構成的にはやはりインプット大全とほぼ同じ。科学的に証明されたアウトプット術より、一般的で当たり前な知識もたくさん書かれている。アウトプットと言ったら「話す」、「書く」、そして「行動する」。アウトプットを高めると言ったらどうやってうまく話せるか、どうやってうまく書けるか、そしてどうやってうまく行動できるのか、そんな本だった。

でも、この本から学ぶことはたくさんある。偏見を持たずに読んでみたら割と面白いことがたくさん書かれている
1 review
January 29, 2021
這本書提醒了我好多事。
在讀這本書以前,我就是一個過多輸入卻幾乎沒有輸出的人,電子報、各種群組、podcast,在這個資訊爆炸的時代,要獲得輸入太容易了,但沒有輸出,這些輸入可說是毫無意義。
每天努力不斷接收資訊,急於讓自己充滿知識涵養,但常常在聽完乾貨滿滿的podcast集數後又繼續聽了別的,我完全沒有吸收剛剛聽的東西。這樣子的我,不就是在浪費時間而已嗎。
所以輸出真的很重要,現在的我努力寫下任何閱覽過的東西,寫個三行都比什麼都沒有來得好。
在書裡還提醒了我一件我做錯很久的事情。
我急於在一開始就想把產出的東西做到完美,以至於遲遲無法下手,導致最後只能在期限將至時草草交出垃圾一樣的東西。
一開始只要能產出三十分的東西就夠了,重要的是要先有東西,之後可以慢慢的修改到自己理想的一百分作品。
總而言之,任何事都悶在心裡絕對不是好事,提醒自己要真正做到輸出,什麼都不做是最可怕的。
Profile Image for Suppalerk Hello.
27 reviews1 follower
April 13, 2021
ก่อนนี้เราสนใจการอ่านหนังสือเยอะ(input)
หนังสือเล่มนี้ทำให้ฉุกคิดว่าวันๆนึง เราได้ "ลงมือทำ" มากแค่ไหน เราใช้เวลาสร้าง "คุณค่า" มากแค่ไหน
จากนี้ไปเราตั้งใจว่าจะลงมือทำให้มากขึ้น สร้างสรรค์ให้มากขึ้น

คาบาซาวะ บอกว่าอัตราส่วน input : output ที่ดีคือ 3 : 7
คำถามที่เราต้องตอบคือ วันนึงเราจะทำ output กี่ชม.? 3?

ข้อสังเกต : มีข้อคิด คำแนะนำดีๆ หลายเรื่อง แต่อาจจะเยอะและร้อยเรียงไม่ลื่นไหล
Profile Image for Juri Hayashi.
4 reviews
December 31, 2024
Memo
- word registration
- a4 idea memo -> outline
- references & articles stock
- PubMed
- mail check a few times, depending on urgency

Some tips are similar as German books I read before
This entire review has been hidden because of spoilers.
Profile Image for Krufai Shanitnan.
4 reviews1 follower
June 16, 2020
โคตรดีๆๆๆๆ เอาไปทำได้จริง
Profile Image for Froggie.
791 reviews40 followers
January 20, 2023
หนึ่งในหนังสือ how-to ที่รู้สึกว่าเอาไปใช้จริงได้ (แต่เราก็อ่านมาน้อยนิดละนะ) ไม่ค่อยสนใจทฤษฎีเขาเท่าไหร่ แต่รู้สึกว่ามีคำแนะนำเป็นข้อๆ+ตัวอย่างชัดเจนดี เข้าถึงได้ไม่ยาก และบางเรื่องลองแล้วได้ประโยชน์กับตัวเอง

คนเขียนไม่ค่อยระบุแหล่งที่มาของข้อมูล งานวิจัย เราไม่ถืออะไรมาก เพราะพวกจิตวิทยาทั้งหลาย เรารู้สึกว่าต้องฟังหูไว้หูอยู่แล้ว แค่มีเทคนิคที่เราเอาไปปฏิบัติแล้วได้ผลจริงๆก็พอ

ปัดขึ้นเป็น 4 ดาว
Profile Image for Sahathust Num.
402 reviews6 followers
December 24, 2020
โชคดีที่ได้อ่านเล่มนี้ในช่วงสิ้นปี 2020 ทำให้เรารู้เลยว่าความสนุกในการทำ Output ในปี 2021 ที่จะมาถึงมีเรื่องต้องทำหลายอย่างมากมาย การสอน การบรรยาย การทำสัมมนา การเขียนบทความ การเขียนเพจ การทำพอดแคสต์ การอัดวิดีโออัพบน Youtube การพัฒนาตนเองไปในทุกทิศทาง ในเล่มนี้มีเคล็ดลับหลายส่วนที่ตัวเราเอง ลองทำไปบ้างแล้ว เพิ่งรู้ว่ามันมีทฤษฎีรองรับด้วย ยกตัวอย่างการจดบันทึกด้วยสมุดและปากกา ทำให้เรามีสมาธิและจดจ่อมากกว่า ขอบคุณหนังสือเล่มนี้มากๆ
Profile Image for Kannatee.
13 reviews
April 14, 2021
ก็รู้นะว่านส.ดีก็ยังดองไม่ยอมซื้อมาอ่านสักที ถ้าอ่านเล่มนี้เล่มแรกของปีประสิทธิภาพในการอ่านอาจจะดีกว่านี้ เหตุผลที่ไม่ตัดสินใจซื้อเพราะราคาแพง แต่อ่านแล้วเข้าใจว่าทำไมแพง มันดีเจรงๆน้าาาทุกโคนน ถ้าจะรีวิวนส.ใน medium เล่มนี้ต้องเล่มแรกเท่านั้น.
Profile Image for Crystal.
41 reviews2 followers
June 15, 2022
既然呢本書叫output,教人點樣輸出,咁就梗係要寫review啦~(貪快打廣東話!第一次喺呢度用廣東話寫review hahaha)
自問係個過分注意輸入而又懶得輸出嘅人,成日因為完美主義同擔心人哋睇法,所以一直都冇咩輸出,久而久之好多學過嘅嘢都唔記得曬。本書用好多好短嘅篇幅,介紹唔同提升輸出嘅方法,非常有用,希望我有心跟住嚟實踐啦😹
Profile Image for Nanappp.
85 reviews2 followers
August 7, 2024
อ่านง่าย สรุปประเด็นได้กระชับ แปบเดียวไม่นานก็จบ ส่วนตัวคิดว่าหลายๆประเด็นในเรื่องไม่ใช่เรื่องใหม่แล้ว อย่างเรื่อง output input มีคนพูดกันเยอะขึ้นมากๆ เคล็ดลับหลายๆเรื่องในเล่มก็คล้ายๆกับเล่ม how to ญี่ปุ่นอื่นๆ หากอ่านภาพรวมก็คงเหมาะ แต่ถ้าคนต้องการเทคนิคที่สร้างสรรค์กว่านี้ เล่มนี้อ่านแล้วธรรมดาไปค่ะ หลายๆอย่างเราว่าหลายๆคนเรียนรู้จากการทำงานจริงได้อยู่แล้ว

ต่อมาเราเห็นว่า แนว how to ของญี่ปุ่นจะทรงๆนี้หมด
ยิ่งอ่านเยอะๆ เราจะสังเกตเห็นได้ว่าสไตล์การเขียนของคนญี่ปุ่น อ่านแล้วบางเรื่องเราก็ตลกๆ ยิ้มๆนิดนึง😂 บางทีเราคิดว่าบางเรื่องมันธรรมดาเอามากๆ (แต่ที่บ้านเขาคงไม่ใช่เรื่องปกติ) + ผู้เขียนแนว how to หลายเล่มญี่ปุ่นหลายเล่มจะโน้มน้าวด้วยการใช้ fact สถิติ การพูดแบบกุศโลบาย (ทรงเดียวกันหมด มันดูกำปั้นทุบดินแต่ก็ไม่ใช่5555) ให้ทำตาม
ซึ่งเล่มนี้ก็สมแล้วที่เป็นหมอเขียน งานวิจัยมาตรึม

พาร์ทแรกจะเป็นบทนำว่าหลักการมีอะไรบ้าง พาร์ทต่อมาจะเป็นการพูด ซึ่งเป็นเคล็ดลับการพูดในการทำงานเสียส่วนใหญ่ ต่อมาก็คือการเขียน (ส่วนใหญ่ก็คือการแนะนำให้เขียนนั่นแหละ แต่พวกแนวคิดการเขียนบล็อกให้ได้รับการแนะนำไม่รู้ว่าในไทยใช้ได้ไหมนะ) การปรับทัศนคติ การฝึกฝน output

โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นเล่มที่หนาแต่ครบเครื่องพอสมควร ใครที่ไม่เคยอ่าน how to ญป.มาก่อน อ่านแล้วอาจจะได้อะไรเยอะ
แต่สำหรับเราไม่ค่อยได้อะไรแล้ว5555 มีที่น่าสนใจอยู่สองสามอย่าง

อ่านตอนผ่านมา 6 ปีจากวันที่ตีพิมพ์แล้วด้วย ตอนนี้คงมีเล่มอื่นที่ดีกว่านี้แล้วละ
Profile Image for KaTe.
66 reviews
January 16, 2021
✔️ หนังสือเล่มนี้เปิดด้วยสิ่งที่โดนใจมากคือ เค้าอธิบายว่าคนที่อ่านหนังสือที่อยากจะพัฒนาตัวเองแต่ไม่ลงมือทำหรือเรียนเพื่อสนองความต้องการของตัวเองเท่านั้น การทำเช่นนี้ถือเป็นการเสียเงิน เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะการพัฒนาตัวเองต้องวัดจาก output เท่านั้นไม่ใช่ input เวลาอ่านหนังสือให้คำนึงถึงปริมาณ output ไม่ใช่ input

✔️ เพราะหลักการ output คือ พูด เขียน ทำ หนังสือนี้ก็จะแนะนำอะไรหลายๆอย่างที่เราจะทำยังไงให้เรามี output ออกมาได้มากที่สุด (การเขียนรีวิวก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน)

✔️ อยากจะเขียนถึงส่วนที่เราชอบในหนังสือสักหน่อยดังนี้
- หากไม่ลองทำก็เท่ากับย่ำอยู่กับที่ตลอดไป
- Multitask ไม่ใช่เรื��องดีในการทำงาน ไม่ควรทำอย่างเด็ดขาด
- นอนให้พอ 7 ชั่วโมงส่งผลต่อ output อย่างมาก (ข้อนี้ผ่าน 555)
- หาเวลาทำ output อยู่เสมอ เล็กๆน้อยๆ ได้ สูตรคือ เวลาว่างXสมาร์ทโฟน
- ทำอย่างต่อเนื่อง (เรื่องวินัยอีกแล้วจ้า)
- ท้าทายตัวเองทำเรื่องที่คิดว่า ถ้าพยายามก็น่าจะทำได้ซ้ำๆ

✔️ โดยสรุปเราคิดว่าหนังสือเล่มนี้เขียนได้เข้าใจง่ายมากๆ อ่านก็ง่ายด้วย แต่ละบทมีแค่1-2 หน้าเท่านั้น ใครที่มีไอเดียว่าอยากลองทำอะไรใหม่ๆ หรืออยากให้ชีวิตมัน productive ขึ้นเราคิดว่าอ่านเล่มนี้จบแล้วมีหลายอย่างที่น่าเอาไปทำตามได้เยอะเลยค่ะ 😉

ส่วนตัวเราเองคงจะเน้นเขียนมากขึ้นหน่อยปกติก็เป็นคนชอบจดทุกสิ่งอยู่แล้ว บูโจก็ทำอยู่ อาจจะโฟกัสกับอะไรแบบนี้มากขึ้นค่ะ
This entire review has been hidden because of spoilers.
Profile Image for PainKilleR.
1 review
December 10, 2025
In the first chapters (1-3), I feel like there are too many watery or common-sense things, and it didn't meet my expectation about an amazing way to improve my output method, but at least it still has some kind of way I think I'm supposed to apply it, like the Input:Output (3:7) ratio or doing more output than before.

Vice versa, in chapters 4-5, I feel some kind of interesting and useful more than in the first chapters for me. There are quite interesting suggestions and at least it can remind and encourage me to do and not do something like

1. Don't multitask. The human brain can't handle this thing in general. We're just ruining our efficiency.
2. Just start to do it quickly before fabrication can overwhelm our mind. Start to do it for like 5 minutes, and a flow state will occur and be with you.
3. Choose the things or the ways that can make you excited.
4. If you feel some kind of bad feeling and don't know what to do or how to handle it, smile first.
5. Sleeping well is the first priority in your life. If you want anything amazing to happen in the next day, the first thing you have to have is a good sleep tonight.
6. Reviewing the books I have read is a good way to improve my output skill.

Period.
5 reviews
August 10, 2023
This book taught me a lot about that learning is not only about getting information into your brain. It’s always about using the information. Most of the time when I’m learning, I never think about how to actually handle the information I got from books or online. I just keep it there. But it will not be useful if I don’t know how to use it in my homework or projects (or in real life). In the first chapter, it talks about how we should not only read, but write and say the information you got, as your input has to be ‘output’-ted frequently to help understand and memorise useful information. For example after reading, it is better to write a book review so that you know what you’ve understood. It’s also tells me that reading more books it’s the main point of learning, it should be ‘being able to tell others about all the books you’ve read’. Reading many books doesn’t make you smarter if you can’t recall or understand the books. I really enjoyed reading the book, as it was easy to understand and helped me a lot with my studies.

I recommend this book to everyone!
Profile Image for Tuitui Liw.
157 reviews7 followers
May 2, 2022
The Power of Output – ศิลปะของการปล่อยของ

ในหนังสือเล่มนี้บอกว่าInput คือการเอาข้อมูลเข้าสมอง เช่นการอ่าน การฟัง การดู Output คือการนำออกมาใช้ เช่น การพูด การเขียน การลงมือทำพออ่านได้แก่นตรงนี้

คนเขียนเก่งมาก เป็นจิตแพทย์ ได้ให้เทคนิคการทำ output ไว้กว่า 80 เทคนิค ต้องอ่านอ่ะ ถึงจะอินบอกเลยอันนี้เอาแบบย่อๆ น้ำจิ้มๆ มาฝากก่อน เผื่อจะกระตุ้นให้อยากไปหามาอ่านบ้าง

วิธีฝึก 7 วิธีในการทำ Output ได้แก่

1) เขียนบันทึกประจำวัน

2) จดบันทึกเกี่ยวกับสุขภาพ เช่น น้ำหนัก จำนวนนาทีที่ออกกำลังกาย จำนวนชั่วโมงนอน

3) เขียนรีวิวหนังสือ

4) เผยแพร่ข้อมูล

5) เขียนลง Social Media

6) เขียน Blog

7) เขียนเกี่ยวกับงานอดิเรก

และที่สำคัญที่สุดการจะผลิต Output ออกมาได้ ต้องเริ่มจากการนอนให้เพียงพอก่อน และการออกกำลังแบบคาร์ดิโอวีคละ 2 ครั้งจะช่วยให้สมองพัฒนาได้ดีกว่าไม่ออกเลย

ดีมากๆสำหรับคนที่มีแต่เอา Input เข้าตัวแต่ไม่รู้จะทำ Output ยังไง
Profile Image for Job Wutipong.
46 reviews1 follower
October 25, 2020
ครั้งแรกที่ได้เห็น #ศิลปะของการปล่อยของ คือการเข้าไปหน้าเวป readery แล้วเห็นหน้าปกเล่มนี้ออกแบบได้สะดุดตาดี ใช้สีน้ำเงินเข้ม ตัดกับสีน้ำตาลคล้ายลังกระดาษ โดยปกติไม่ค่อยเห็นคู่สีนี้ในท้องตลาด พร้อมกับคำโปรยปกหลังที่เขียนว่า “ระหว่างคนอ่านหนังสือเดือนละ 3 เล่ม กับเดือนละ 10 เล่ม ใครจะพัฒนาไปไกลกว่ากัน”
.
.
คำตอบ ถูกเฉลยตั้งแต่ต้นเล่มว่า การอ่านหนังสือเป็นแค่ input และคนที่ไปไกลไกลกว่า คือ คนที่ผลิต output มากกว่า ไม่ได้เกี่ยวว่ารับ input มากหรือน้อย
.
.
เนื้อหาข้างในออกแบบมาอย่างดี สามารถอ่านจบได้ภายในรวดเดียว แถมมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย แบบ Japanese how to แม้จะไม่ชอบอ่าน how to มากแต่เล่มนี้ก็ถือว่าทำได้ไม่เลวเลย
Profile Image for Mink Chuepaiwest.
6 reviews
December 9, 2022
ปกติก็อ่านหนังสือ ดูหนัง ดูซีรี่ย์ เป็นประจำ พอมาอ่านหนังสือเล่มนี้ ถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเอง Input เยอะมาก แต่ไม่ค่อยเอามาใช้สร้าง output เท่าไหร่

ทำให้ไอ้ที่อ่านไป ดูไป แต่กลับจำไม่ค่อยได้

เพราะมีแต่ input แต่ไม่ค่อยได้สร้าง output ไม่ได้เอาความรู้ที่ได้นั้นไปใช้

การพูด เขียน และลงมือปฏิบัติ จะช่วยพัฒนาสมองให้จำได้ดีขึ้น ความคิดสร้างสรรค์ดีขึ้น

หนังสือยังพูดถึงการดูแลร่างกายและจิตใจให้มีความสุขอยู่เสมอ และปลูกฝัง mindset ของการใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน

ข้อสำคัญคือ ให้ output อย่างสนุก และลงมือทำอย่างต่อเนื่อง
Displaying 1 - 30 of 82 reviews

Can't find what you're looking for?

Get help and learn more about the design.