สฤณี อาชวานันทกุลAuthor 82 books1,121 followersFollowFollowDecember 28, 2020ชื่อ “ธงชัย วินิจจะกูล” กลายเป็นเครื่องหมายการันตีคุณภาพของหนังสือประวัติศาสตร์ไปแล้ว สำหรับใครที่เคยอ่านงานเล่มก่อนๆ ของอาจารย์ธงชัยมาแล้ว “รัฐราชาชาติ” เล่มนี้ค่อนข้างร่วมสมัยกับสถานการณ์การ “ทะลุเพดาน” การประท้วงรัฐและวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ของเยาวชนและประชาชน นำโดยกลุ่ม “คณะราษฎร 2563” และคำนำของผู้เขียนก็ฉายชัดว่า หนังสือเล่มนี้ “ตีพิมพ์ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวของเยาวชนนักเรียนนักศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนหญิงชั้นมัธยม ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ไทยมาก่อน ...พวกเขาเติบโตมาในระยะที่ประเทศไทยมืดมน หลอกให้ประชาชนหลงเชื่อว่า “อดีตคืออนาคต” อนาคตจะต่างจากอดีตไม่ได้เพราะบรรพบุรุษของเราสร้างชาติไว้อย่างวิเศษและเป็นนิรันดร แต่อดีตที่สวยหรูนิรันดรนั้นเป็นแค่ฝันเพ้อเจ้อของอภิสิทธิ์ชนคนชั้นสูงและผู้มีอำนาจ ผู้คนมหาศาลที่ไร้อภิสิทธิ์และไร้อำนาจต้องการอนาคตอย่างใหม่ เยาวชนรุ่นนี้ขอสร้างอนาคตของเขาเอง” (อ่านคำนำฉบับเต็มได้จากเว็บไซต์สำนักพิมพ์ https://sameskybooks.net/index.php/pr...)ผู้เขียนประกาศว่า “ประเทศไทยต้องการพลังที่สว่าง มองเห็นความเป็นไปได้ของอนาคตที่สดใสกว่า เพื่อขจัดด้านมืดของ “ชาติ”” และบทความที่รวบรวมไว้ในหนังสือเล่มนี้ก็กล่าวได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของการผลิตสร้างองค์ความรู้สู่ “พลังที่สว่าง” เริ่มต้นจากการถอดรื้อ/รื้อสร้างเรื่องเล่าหลัก (grand narrative) ในสังคมไทย ซึ่งอาจารย์ธงชัยนิยามว่าอุดมการณ์แบบ “ราชาชาตินิยม” ที่ไม่มีประชาชนอยู่ในนั้น หนังสือ “รัฐราชาชาติ” เล่มนี้โดดเด่นด้วยการเพิ่มเติมประเด็นที่ไม่อยู่ในเล่มก่อนๆ และบางประเด็นดูเป็นสิ่งที่ผู้เขียนเพิ่งเริ่มสำรวจและคิดใคร่ครวญไม่นาน เนื้อหาที่ชอบมากว่าด้วยการใช้อำนาจรัฐในชีวิตประจำวัน ซึ่งผู้เขียนยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับนวนิยายคลาสสิก 1984 มาชี้ว่า ประชาชนด้วยกันนี่แหละที่ทำตัวเป็นองคาพยพของรัฐในการสอดส่องสอดแนม ไม่ใช้มีแต่หน่วยงานรัฐเท่านั้นที่ทำตัวเป็น “big brother” ส่วนหนึ่งจากความสำเร็จของการสร้างและพยุง “ลัทธิคลั่งไคล้เจ้า” – อ่านเนื้อหาเหล่านี้แล้วก็รู้สึกตื่นเต้นว่า ในอนาคตคงได้เห็นอาจารย์ลงลึกศึกษาเพื่อตอบคำถามว่า เพราะเหตุใดคนไทยจำนวนมากจึงยังคลั่งไคล้เจ้า และยอมทำตัวเป็นส่วนขยายของกลไกสอดส่องสอดแนม รวมถึงกดขี่ปิดปากประชาชนของรัฐ ในนามของความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์บทที่เด่นที่สุดในหนังสือคือบทที่ยาวที่สุดในเล่ม “นิติรัฐอภิสิทธิ์และราชนิติธรรม” นำบทบรรยายชื่อเดียวกันของอาจารย์ในงานกล่าวปาฐกถาพิเศษ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ประจำปี 2563 มาเรียบเรียงใหม่ รวมถึงเพิ่มเติมเนื้อหาและแหล่งอ้างอิง ใครเคยฟังปาฐกถาแล้วก็ควรอ่านใหม่ ชิ้นนี้เป็นงานที่จับใจและดีที่สุดชิ้นหนึ่งของอาจารย์ นำเสนออย่างชวนคล้อยตามและสมควรได้รับการถกเถียง ค้นคว้าวิจัยกันไปอีกนานว่า นิติรัฐ นิติธรรม หรือ rule of law ในนิยามสากลนั้นไม่เคยมีอยู่จริงในประเทศไทย มีเพียง “นิติรัฐอภิสิทธิ์และราชนิติธรรม” เท่านั้นเองbest-thai-history-books my-2020-top-ten-thai
Reborn D26 reviewsFollowFollowDecember 24, 2020ชอบบทแรก บทสุดท้ายของหนังสือ (ที่พูดถึง IC หรือชุมชนจินตกรรม ของ Benedict Anderson) กับบทที่ยาวที่สุดคือ นิติรัฐอภิสิทธิ์และราชนิติธรรม บทนี้คือการเอางานที่เคยแสดงในปาฐกถาพิเศษ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ โดยส่วนตัวถ้าอ่านตัวเต็มตรงนี้แล้วไปฟังปาฐกถาเต็มอีกสักหนึ่งรอบ จะได้อรรถรสมากๆ
Tanan234 reviews47 followersFollowFollowJanuary 30, 2021หนังสือเล่มนี้จะทำให้เห็นวิวัฒนาการของรัฐชาติที่นำโดยราชา โดยเฉพาะช่วงรัชสมัยรัชกาลที่เก้าซึ่งลิทธิคลั่งไคล้เจ้าพุ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด หนังสือจะทำให้เห็นว่าสถาบันกษัตริย์มีบทบาทอย่างไรต่อระบอบการปกครองของไทย มีอิทธิพลชี้นำการเมืองการปกครองอย่างไร ทำไมผู้คนในยุคนั้นถึงได้ปวารณาให้กับสถาบันกษัตริย์หมดหัวใจไร้ซึ่งคำถาม .การที่ไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีราชาผู้ทรงธรรมดุจดั่งเทวดาองค์แล้วองค์เล่าไม่ได้เกิดขึ้นอย่างบังเอิญ ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเลื่อนลอย ไม่ได้เกิดขึ้นเหมือนพรที่ประทานลงมาจากฟ้า แต่การจากเครือข่ายผลประโยชน์ เกิดจากการออกแบบ เกิดจากการสั่งสมอำนาจบารมี จนทำให้ลัทธิคลั่งไคล้เจ้าฝังรากลึกในปัจจุบัน.ในหนังสือเราจะได้เห็นนิยามของลัทธิคลั่งไคล้เจ้าว่ามีลักษณะอย่างไร คาถาอาคมอะไรที่สะกดความคิดให้ผู้คนไม่อาจหลุดจากลัทธินี้ได้ คนรุ่นใหม่กำลังต่อสู้กับอะไรอยู่ หนังสือมีหลายประเด็นที่ควรค่าแก่การอ่านทำความเข้าใจ
Fai C. -156 reviews8 followersFollowFollowJanuary 11, 2021คุณค่าที่ทุกคนคู่ควร ไม่ว่าจะรักหรือ'ชังชาติ'ก็ควรอ่านเล่มนี้
nisemono偽者211 reviews23 followersFollowFollowAugust 25, 2021เข้มข้นและดีงามสมคำล่ำลือของอาจารย์ธงชัย เพิ่งเคยอ่านผลงานอาจารย์แบบจริงจังครั้งแรก(จริงๆเคยหยิบเล่ม 6 ตุลาฯ มาอ่านปวดตับเลยวางไป อาจจะเพราะตอนนั้นยังมีความรู้ ความเข้าใจน้อยเกินไป) เนื้อหาเล่มนี้ค่อนข้างไปทาง academic ซะส่วนใหญ่ เล่มนี้ไม่ได้เหมาะกับผู้ที่ต้องการจะตาสว่างวาบ แต่เหมาะสำหรับคนที่ตาสว่างแล้ว เบิกเนตรเรียบร้อย และต้องการเหตุผลอธิบายลัทธิการคลั่งเจ้า ว่ามันมาจากไหนกัน อ่านได้ความรู้ สนุก แต่ส่วนตัวออกจะเบื่อภาคสุดท้าย ที่เล่าเรื่องหนังสือของอาจารย์เบ็น และอาจารย์นิธิเลยอ่านแบบ skipๆๆ ไปบ้าง แต่โดยรวมเข้าท่า และถึงใจnon-fiction prepare-to-against-dictatorship properties