Jump to ratings and reviews
Rate this book

No-Nonsense Guides

The No-Nonsense Guide to Class, Caste & Hierarchies

Rate this book
Upper, middle, or lower? Which class are you? Hierarchies and rankings have been with us since the earliest times and, as Seabrook argues, they show no sign of disappearing yet. Those at the top would have too much to lose. This No-Nonsense Guide gives the full picture of how class analysis emerged from earlier categorizations, and how it affected and still affects people’s lives even today in our globalized world.

144 pages, Paperback

First published January 1, 2002

1 person is currently reading
82 people want to read

About the author

Jeremy Seabrook

64 books14 followers
Jeremy R. Seabrook was an English author and journalist who specialised in social, environmental and development issues. His book The Refuge and the Fortress: Britain and the Flight from Tyranny was longlisted for the Orwell Prize.

Ratings & Reviews

What do you think?
Rate this book

Friends & Following

Create a free account to discover what your friends think of this book!

Community Reviews

5 stars
11 (40%)
4 stars
10 (37%)
3 stars
4 (14%)
2 stars
1 (3%)
1 star
1 (3%)
Displaying 1 - 8 of 8 reviews
Profile Image for Amy.
723 reviews42 followers
January 15, 2021
Wish there was an updated version of this gem. I also wish everyone who was working class but who is drinking the kool-aid drug of capitalism that has them fooled into thinking they are middle class, or even worse, that they will somehow manage to get rich, read this.
Profile Image for Pittayut Panswasdi.
23 reviews13 followers
June 14, 2013
เขียนเปิดประเด็น ตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องชนชั้น ผลกระทบได้กระชับ ไหลลื่น หลากหลายดี
อ่านสนุก ไม่น่าเบื่อ เหมาะกับการเป็นหนังสืออินโทรดักชั่นของผู้สนใจเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
แต่ความรู้สึกส่วนตัวรู้สึกว่ามองประเด็นการบริโภค อัตลักษณ์ จิตวิทยา พื้นที่ภายในของปัจเจกบุคคลว่าไร้สารัตถะ เรียบแบนไปหน่อยนึง
Profile Image for Suwipa.
13 reviews9 followers
Read
September 22, 2025
ได้อรรถรส (ขม) มากขึ้นเมื่ออ่านข่าวช่วงนี้ประกอบไปด้วย ทั้งการประท้วงในเนปาล ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เสริมด้วยข่าวงานแต่งของเจฟฟ์ เบโซส์ และความนิยมของลาบูบู้

เนื้อหาหลักคือการชวนตั้งคำถามเรื่องชนชั้น ว่าทุกวันชี้ชนชั้นหายไปจริงหรือไม่ เฉลยเลยว่าไม่หายไป เพียงแต่แฝงตัวอยู่ในนามของสิ่งอื่น และการที่เราไม่ตระหนักถึงมัน ก็เพราะมายาคติมากมายที่บดบังความคิดเราอยู่ เช่น ในวัฒนธรรมอเมริกันก็มีอเมริกันดรีม ในวัฒนธรรมไทยก็คงเป็นความขยันอดทนที่ทำให้เราเชื่อว่าเราเหนือกว่าคนอื่น และความเป็นชนชั้นกลับรุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อโลกเข้าสู่โลกาภิวัตน์

ในตอนท้ายของเล่ม ผู้เขียนเสนอว่า อนาคตโลกจะเต็มไปด้วยความรุนแรงมากขึ้น ทั้งความรุนแรงที่คนรวยใช้กับคนจน และความรุนแรงที่คนจนตอบโต้คนรวย แต่ผู้เขียนไม่ได้คิดว่านี่คือทางออก การแก้ปัญหาคือการให้ความหลากหลายกับสังคม ระบบเศรษฐกิจที่หลากหลาย กลุ่มคนที่หลากหลาย ทั้งเรื่องอัตลักษณ์ ความคิด ความเชื่อ (และก็น่าจะรวมถึงชนชั้นด้วยเช่นกัน)
This entire review has been hidden because of spoilers.
Profile Image for Kin.
506 reviews163 followers
October 19, 2012
จบแล้ว

แม้ว่าจะมีข้อจำกัดด้านคำอธิบาย แต่หนังสือเล่มนี้มีประเด็นสนุกๆ เยอะมาก

เริ่มต้นด้วยการอธิบายพัฒนาการความคิดเรื่องชนชั้น ที่เปลี่ยนไปตามระบบการผลิตโลก จากชนชั้นแรงงานที่ต้องทำงานหนัก ทำงานเหมือง ไปสู่การผลิตสร้าง "คนจน" ในฐานะผู้ถูกกีดกันออกจาตลาดโลก และสร้างภาพพวกเขาขึ้นจากภาพลักษณ์ของคนรวย จนทำให้ผู้คนในยุคโลกาภิวัตน์ ถูกล่อลวงคิดว่าตัวเอง "จน" และต้องแสวงหา คนจนคิดว่าตัวเองจน คนรวยก็คิดว่าตัวเองจน ความพอเพียงจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะขณะที่พวกเขาอยากจะพอ โทรทัศน์กลับฉายภาพของนักการเมือง เศรษฐีผู้สูงศักดิ์ทั้งทางเศรษฐกิจหรือซากเดนทางชนชั้นวรรณะ หนังสือพิมพ์ยังตีพิมพ์ภาพของดาราและนักธุรกิจผู้เปี่ยมด้วยความถวิลหา สง่างาม และน่านับถือ ฉะนั้นไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไร มนุษย์ในโลกยุคนี้จึงถูกบีบให้กลายมนุษย์ผู้บริโภค บริโภคเพื่อเสริมแต่งตัวตนอย่างไม่จบสิ้น นั่นเป็นความผิดของพวกเขาหรือที่ไม่อาจ "พอเพียง" ?

อีกส่วนหนึ่ง ผู้เขียนโจมตีกันตรงๆ ว่า ตัวปัญหาของโลกปัจจุบันก็คือ บรรดาชนชั้นกลางใหม่ ที่เติบโตขึ้นอย่างเต็มที่หลังการเปลี่ยนสายธารการผลิตในยุคอุตสาหกรรม ช่วงยุค 1970s เป็นต้นมา โดยชนชั้นกลางใหม่เหล่านี้ก็คือ อดีตเหล่าแรงงานในต้นยุคอุตสาหกรรม ที่สามารถเอาตัวรอด และเขยิบฐานะทางชนชั้นขึ้นมาได้นั่นเอง

การแบ่งสายการผลิตรูปแบบใหม่ หลังสงครามโลกครั้งที่สองและผลพวงของโลกาภิวัตน์ ทำให้เกิดการจัดระเบียบชนชั้นใหม่อีกครั้ง คนจำนวนมากในโลกทุนนิยมที่พัฒนาอุตสาหกรรมอย่างก้าวหน้า สถาปนาตัวเองเป็นชนชั้นกลาง ขณะเดียวกันการเติบโตของกลุ่มประเทศ "ตะวันตก" ทำให้พวกเขากลายเป็นอเมริกาในศตวรรษที่ 19 ผู้คนจากต่างถิ่น ต่างเชื้อชาติ ศาสนา อพยพเข้ามายังประเทศอุตสาหกรรมที่ต้องการแรงงานมาก ตลาดแรงงานจึงต้องขยายตัวเพื่อรองรับคนที่มีความแตกต่างหลากหลายและไม่เคยมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานมาก่อน

ขณะที่การเติบโตของชุมชนอุตสาหกรรมรอบๆ เมืองใหญ่ กอปรกับการขาดแคลนที่ดินทำกินของบรรดาเกษตรกรเดิม ดึงดูดให้พวกเข้ามากระจุกตัวกันในเขตอุตสาหกรรมมากขึ้น พร้อมๆ กับที่บรรดาแรงงานอุตสาหกรรมรุ่นก่อนก็ได้ขยับฐานะตนเองไปสู่ชนชั้นกลางทางเศรษฐกิจเสียแล้ว พวกเขาและลูกหลานหันไปทำงานนั่งโต๊ะ สามารถเข้าสู่ระบบงานแบบใหม่ที่ยืนอยู่บนฐานของคุณธรรม ไม่ใช่ระบบอุปถัมภ์แบบเดิม และขีดเส้นแบ่งงานใช้แรงงานแบบเก่าๆ ไว้ให้กับพวกผู้มาใหม่ ที่ต่ำต้อยกว่า

พวกเขาเริ่มต้นด้วยการดำเนินรอยตามบรรดาชนชั้นกลางเดิม ที่เคยเป็นพ่อค้า ขุนนาง และร่ำรวยมาตั้งแต่ต้นยุคอุตสาหกรรม พวกเขาสร้างความเป็น "คนอื่น" ผลิตสร้างถ้อยคำที่สูงส่ง กฎเกณฑ์มากมาย เงินทองจะมีค่าก็ต่อเมื่อพวกเขาบริโภคสินค้า พวกเขามี "อำนาจซื้อ" พวกเขาซื้อหาเครื่องแต่งกายที่สะอาดสะอ้าน ทว่ามีเกียรติภูมิ เผื่อเติมเต็มคุณค่าเชิงสัญลักษณ์ และยกระดับจนเองให้ห่างไกลจากกอดีตที่ไม่น่าจดจำ

พวกเขาขับเน้นกระบวนการแยกตัวเองออกจากเหล่าผู้ใช้แรงงานและคนชนบท โดยเริ่มโรแมนติไซต์ความเป็นชนบทเหล่านั้น ผลิตอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว สร้างภาพความงดงามของดินแดนไกลโพ้น หาดทรายขาว ทะเลใส อารยธรรมพันปี ดำเนินคำขวัญ "ชม ชิม ช้อป" อย่างเคร่งครัด (มีคำขวัญทำนองนี้และเท่ไม่แพ้กัน ปรากฎอยู่ที่หอพักใหม่ของมหาฯลัยที่คิดว่าตัวเองชื่อดังแห่งหนึ่ง) ขณะเดียวกันก็สนับสนุนอุดมการณ์ "มองโลกในแง่บวก" หรือ "โลกสวย" พวกเขาหลีกเลี่ยงจะมองเห็นความเหลื่อมล้ำต่ำสูงที่มีอยู่ ไม่เห็นความยากจน หรือชุมชนแออัด ไม่เห็นระบบสาธารณูปโภคที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่เห็นผู้คนที่ไม่ได้มีชีวิตงดงามอย่างในโทรทัศน์ ไม่เห็นคนตาย

(น่าสนใจว่า กรณีประเทศไทย การอยู่รอดของบรรดาชนช้ันกลางใหม่หลังวิกฤตเศรษฐกิจ ได้เปิดทางให้กับอุดมการณ์เหล่านี้อย่างไร ทางหนึ่ง เราอาจดูได้จากตัวอย่างสื่อกระแสหลักที่เกิดขึ้นในช่วง พ.ศ.2541-2545)

ทั้งหมดเป็นเพียงเพราะพวกเขาเคยรับรู้ถึงความเจ็บปวดและยากลำบากของแรงงาน พวกเขาจึงเลือกจะมองไม่เห็น พูดให้ง่ายที่สุด (โยนเรื่องเพศสภาพทิ้งไป) เพราะเรารู้ว่่าการยืนบนรถเมล์มันลำบากเพียงใด เมื่อเรายกฐานะตัวเองไปเป็น 'คนนั่ง' ได้แล้ว เราจึงเลือกจะนอนหลับ เลือกจะหลับตา เลือกจะทำอะไรบางอ่าง เลือกจะบังคับตัวเองเพื่อจะ 'ไม่เห็น' และเราจะได้ไม่ต้องลุกให้ใครต่อใครที่ลำบากกว่า ก็จะเป็นอะไรไปเล่า ในเมื่อเราไม่เห็น

เพราะพวกเขาเคยรับรู้ถึงความลำบาก พวกเขาจึงพร่ำสอนลูกหลานว่า จงตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน เพื่อจะได้ไม่ลำบาก แต่ไม่เคยสอนว่า ควรปฏิบัติต่อคนที่ลำบากอย่างไร พวกเขาสอนลูกหลานว่าจงอย่าเป็น nobody ทว่าไม่เคยสอนว่า เราควรอยู่ร��วมกับคนที่เป็น nobody อย่างไร กระนั้น แสงสว่างที่พอให้เห็นรำไรก็ดูไม่ประจักษ์ชัดนัก พวกเขาพร้อมชื่นชม ยกย่อง ใครก็ตามที่ทำให้พวกเขามองเห็นสิ่งที่พวกเขาเบือนหน้าหนี ใครก็ตามที่เตือนสติพวกเขาให้รับรู้การมีอยู่ของสิ่งอื่น ใครก็ตามช่วยเหลือผู้คนที่อยู่ต่ำต้อยกว่าพวกเขา โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ พวกเขาจะไม่ทำมันด้วยตัวเอง ในทางกลับกัน บรรดาลูกหลานชนชั้นกลางที่พอตระหนักถึงความยากลำบากของคนอื่น ก็พยายามอุทิศตัวเพื่อล้างบาปของพ่อแม่ที่เหยียบย่ำคนข้างล่างเหล่านั้น ทว่าพวกเขาไม่อาจละทิ้งภาพชนบทอันงดงาม หรือชนบทอันแร้นแค้นจนต้องพัฒนาให้ทันสมัยไปได้

ในอีกทางหนึ่ง บรรดาผู้ถูกหลงลืมเหล่านั้น ก็ผันตัวเองกลายเป็นผู้คุมกฎเกณฑ์ของสังคม กล่าวคือ พวกเขากลายเป็นตัวอย่างของผู้มีชีวิตที่ผิดไปจากแบบแผนของสังคมทุนนิยม คนติดยา คนว่างงาน คนไร้บ้าน พวกเขาเป็นตัวอย่างไว้เตือนเหล่าบรรดาลูกหลานชนชั้นกลางใหม่ว่า 'จงทำตัวให้ดี อยู่ในร่องในรอย ตั้งใจเรียน และตั้งใจทำงาน เพื่อเจ้าจะได้ไม่เป็นอย่างข้า' ขณะเดียวกัน ระบบคุณธรรมที่มาแทนที่ระบบอุปถัมภ์ยิ่งเหยียบย่ำซ้ำเติมผู้คนเหล่านี้ พวกเขาหันมาโทษตัวเองว่า เพราะพวกเขาไม่มีความสามารถเพียงพอ จึงต้องเป็นอย่างนี้ สังคมยุติธรรมอยู่แล้ว เป็นเพราะตัวเราเอง ถึงต้องเป็นเช่นนี้

ในบทความว่าด้วยความยุติธรรมของแนนซี เฟรเซอร์ กล่าวว่า กระบวนการหนึ่งของความอยุติธรรมก็คือ ทำให้ผู้ถูกเอาเปรียบไม่รู้ว่ากำลังถูกเอาเปรียบ พวกเขาถูกปิดบังและหลบซ่อนจากผู้เอาเปรียบ จนไม่อาจรับรู้ถึงความอยุติธรรมนั้น และท้ายที่สุด มันจะบีบบังคับให้พวกเขาหันมาโทษตัวเอง.
Profile Image for MT.
626 reviews78 followers
September 29, 2020
(อ่านแบบพากษ์ไทย)
- ดีมาก สนุกมากๆ ใครชอบหรืออินหนังแบบParasiteหรือสนใจเรื่องเกี่ยวกับชนชั้น นสไม่หนาไม่บางเล่มนี้ช่วยเติมเต็มให้คุณได้
Profile Image for Irene Daguno.
21 reviews34 followers
February 28, 2013
a handy, illuminating book explaining the persistent relevance and reclassification of 'class' in these times of globalisation and what-could-be abstracting/empty calls for equality and equal opportunity. got this as a bargain in an oxfam store, and almost finished it after the long flights home. and as i struggled over the effects of jetlag, the word 'dilution' appeared several times in my daytime dreams. in one dream, i was enjoying a discussion with a former classmate (who chose to write his essay against postmodern feminists' disregard of class in theorising; and in another, i was struggling with a nameless friend about this 'phenomenon' (in my dream, i feel so grand when i was finally able to name the word) as she put more water in a glass of milk that she's making for me.. hmm migraine..
Profile Image for Shannon Jenkins.
5 reviews6 followers
March 3, 2015
This is a very easy read, which raises some excellent points about the changing nature of class and contemporary manifestations of hierarchy. I particularly like that Seabrook is forthcoming about his personal perspective declaring in his first sentence that the argument that class is dead is absolute myth. His argument presented is very convincing. Great introductory read to the topic.
Profile Image for Rachella Sinclair.
56 reviews
February 18, 2015
This misleadingly slim book is quite a meaty read. I'm going to keep it as a reference for its numerous explanations of many of cultural quirks that plague British society. For example, it finally gave me the words to explain why "working class" and "middle class" are not mutually exclusive.
Displaying 1 - 8 of 8 reviews

Can't find what you're looking for?

Get help and learn more about the design.