Jump to ratings and reviews
Rate this book

ไตรภาคเมืองแก่งคอย #1

ลับแล, แก่งคอย

Rate this book
นวนิยายรางวัลซีไรต์ปี 2552 ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องเล่าของพ่อแม่สมัยตอนที่ตัวเองยังเป็นเด็กๆ แล้วนำมาเขียนถ่ายทอดผ่านการบอกเล่าของตัวละคร ก่อนจะปิดท้ายด้วยการคลี่คลายปัญหาของตัวละคร ให้ผู้อ่านได้เข้าใจแบบถ่องแท้ เป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์หมู่บ้านที่ แก่งคอย ประวัติศาสตร์แห่งถนนมิตรภาพ ซึ่งถือเป็นประวัติศาสตร์ของสังคมไทยที่ลากยาว ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.2533

แม่กับผัวใหม่เข้าใจว่า “ลับแล” ลูกชายถูกผีเข้าสิงจึงจับตัวลูกส่งไปอยู่วัด เพื่อให้หลวงพ่อขับไล่ผี แต่ลูกชายกลับเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับครอบครัวให้หลวงพ่อฟัง ตั้งแต่เรื่องบรรพบุรุษจนกระทั่งเรื่องว่าเขาคือคนที่ฆ่า “แก่งคอย” ซึ่งเป็นพี่ชายของเขาตาย โดยผลักให้ตกหน้าผา

ลับแล, แก่งคอย หากนับว่าเป็นเรื่องจริงและเรื่องแต่ง โดยนักเขียนได้แบ่งโครงเรื่องของนิยายออกเป็น 5 ภาค คือ
ภาคแรก - กำเนิดจากเรื่องเล่า,
ภาคสอง - ประวัติศาสตร์ที่เริ่มสว่าง,
ภาคสาม - ในป่าหิมพานต์,
ภาคสี่ - ฌาปนกิจความจริง และ
ภาคห้า – เถ้าอังคารของความลวง
ลับแล, แก่งคอย ยังจัดเป็นนวนิยายแนวอัตชีวประวัติที่ผู้อ่านยากจะคาดเดาได้ว่าเรื่องราวจะจบลงเช่นไร

448 pages

First published August 1, 2009

37 people are currently reading
534 people want to read

About the author

อุทิศ เหมะมูล เกิดเมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2518 ที่อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี เรียนชั้นประถมที่โรงเรียนแสงวิทยา ชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนแก่งคอย มีใจรักชอบการวาดรูป แต่ด้วยบิดาวาดหวังให้เป็นวิศวกร จึงแอบไปสมัครสอบเรียนศิลปะที่แผนกศิลปกรรม สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นครราชสีมา และสอบเข้าคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (วังท่าพระ) กรุงเทพฯ ยังความปลาบปลื้มให้บิดาเป็นอย่างมาก

ปี 2542 ได้ร่วมงานกับฟิล์มไวรัส ดวงกมลฟิล์มเฮาส์ จัดฉายหนังตามสถานศึกษาต่างๆ และได้มีหนังสั้นเป็นของตัวเองชื่อ พิภพบรรฑูรย์ อีกทั้งจับพลัดจับพลูได้เป็นผู้กำกับศิลป์ ภาพยนตร์ไทยเรื่อง ดอกไม้ในทางปืน กำกับภาพยนตร์โดยมานพ อุดมเดช

ปี 2543 เริ่มเขียนบทความทางภายนตร์ให้กับนิตยสาร Movie Time ระหว่างนั้นเขียนเรื่องสั้นไปด้วย เรื่องสั้นเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์ชื่อ เลือน: จุดจบของนามอันเป็นอื่น ที่สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ต่อมาใน ปี 2547 พิมพ์นวนิยายเรื่องแรก ระบำเมถุน ปี 2548 ตีพิมพ์รวมเรื่องสั้น ปริมาตรรำพึง (ผ่านเข้ารอบ 20 เล่มสุดท้ายรางวัลซีไรต์

ปี 2549 ตีพิมพ์นวนิยาย กระจกเงา / เงากระจก (ผ่านเข้ารอบ 15 เล่มสุดท้ายรางวัลซีไรต์) ปี 2551 ตีพิมพ์รวมเรื่องสั้น ไม่ย้อนคืน และบทวิจารณ์ภาพยนตร์ OUTSIDER IN CINEMA

ปี 2552 นวนิยาย “ลับแล, แก่งคอย” ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี พ.ศ. 2552

Ratings & Reviews

What do you think?
Rate this book

Friends & Following

Create a free account to discover what your friends think of this book!

Community Reviews

5 stars
218 (58%)
4 stars
122 (32%)
3 stars
22 (5%)
2 stars
6 (1%)
1 star
7 (1%)
Displaying 1 - 30 of 47 reviews
Profile Image for Woravich Sittiwang.
15 reviews30 followers
June 24, 2017
อ่านจบเกิดคำถามสองอย่าง คือ หนึ่ง เขียนได้ยังไงถึงล้ำและลึกมากขนาดนี้ ทำไมถึงสามารถอธิบายเรื่องที่โครตจะ philosophy ได้อย่างลุ่มลึกแต่เรียบง่ายได้ ทำไมถึงสามารถเปลือยให้เห็นพลังของเรื่องเล่าได้ทั้งในรูปแบบของกลวิธีการเขียนเอง และตัวเนื้อหา.. คิดได้ยังไง ทั้งหมดจะไม่พีคเลยถ้าไม่อ่านแล้วโดนลวงและโดนหลอก จะไม่เห็นพลังของเรื่องเล่าขนาดนี้เลย เรื่องเล่าทรงพลังกว่าความจริง เรื่องเล่าปั้นชุดความเชื่อขึ้นมาได้ ไม่ต่างจากเล่าสร้างตัวตนเราได้ ใครจะมีตัวตนนแบบไหนขึ้นอยู่ว่าใครเป็นคนเล่า และใครเป็นคนมอง และที่น่าตกใจคือเราก็มักสมาทานเรื่องเล่ามากกว่าความจริงอยู่แล้ว และคำถามที่สอง ตัวเองไปใช้ชีวิตอยู่ไหนมา.. ถึงไม่เคยอ่านนิยายของอุทิศ เหมะมูลเลย
Profile Image for Nuttawat Kalapat.
685 reviews48 followers
August 31, 2021
ผมพบว่า มีซีไรท์ บางเล่มแหละ ที่เคยอ่านแล้ว พบว่าเอ้ะ ได้แค่นี้หรอ ไมมันธรรมดาจัง

แต่เล่มนี้ดีกว่าที่หวังเยอะครับ
ส่วนตัวให้ 10/10 เลยครับ ผู้เขียนเทพมากที่เขียนให้เราอินได้ ขนาดนี้
ความอินกับตัวละครให้เท่า เรื่องของท่าน แดนอรัญแสงทอง


ห้ามอ่านสปอยมาก่อนอ่าน
ไม่รู้เลยจะดีกว่า
แค่จะบอกว่าดีมากๆครับ

ทุกคำพูด ทุกรายละเอียด เป้ะมากๆ
ตั้งใจถ่ายทอดมากๆ
สามารถลงลึก ไปในความคิดคน ได้สุดขนาดนี้

แถมพลอตก็มีหลายฟีลลิ่งมาก อบอุ่น ปนๆ ดาร์ค
แถมแอบมี หยอดหลักธรรมคำสอนพุทธมาแบบเนียนๆ

ดีครับดี สนุกด้วย
Profile Image for Ariya.
589 reviews72 followers
November 4, 2020
ยุ่งจนลืมว่าเคยอ่านเล่มนี้เมื่อหลายเดือนก่อนแต่ยังไม่ได้เขียนถึง มาจนป่านนี้ก็ลืมไปว่าอยากจะเขียนเกี่ยวกับอะไร 555 เพราะความพิเศษเกี่ยวกับกลวิธีการสร้างเรื่องเล่าก็คงถูกพูดถึงจนปรุไปหมดแล้ว งั้นพูดถึงพื้นที่แก่งคอยในจังหวัดสระบุรีบ้างแล้วกัน เพราะเป็นคนที่โตมาในจังหวัดที่มีลักษณะคล้ายกันนี้มาก เลยประหลาดใจว่าอุทิศสามารถหยิบความธรรมดาๆ อำเภอในจังหวัดที่ไม่ใช่ตัวเมือง แต่ก็ไม่เชิงเป็นชนบทมาเขียนให้เป็นฉากท้องเรื่องที่ดูพิเศษ จนกลายเป็นพื้นที่มีตัวตนจนเป็นเหมือนตัวละครสำคัญอีกตัวละครหนึ่งในเรื่องได้ยังไง

แก่งคอย ทั้งตัวละครและอำเภอแก่งคอยเหมือนเติบโตมาโดยพบกับจุดเปลี่ยนผ่านเดียวกัน ทั้งจากเมืองที่ดูไม่มีอะไรพิเศษ กลายเป็นแหล่งโรงงานผลิตปูน มีบริษัทสองแห่งเข้ามาซื้อที่และจ้างคนงาน คนในพื้นที่มีทั้งคนที่มีรากเหง้ามาจากคนชนบทห่างไกลความเจริญ และคนที่มีฐานความคิดเป็นคนเมืองอาศัยปะปนร่วมกัน องค์ประกอบพวกนี้ยิ่งหล่อหลอมให้แก่งคอยเปลี่ยนจากพื้นที่แห้งแล้ง กลายเป็นพื้นที่ที่เติบโตอย่างไม่ทันตั้งตัว รุดหน้าและกลายเป็นแหล่งลงทุน นำไปสู่ความงุนงง สับสน การแบ่งแยก "ชนชั้น" ที่เกิดขึ้นของคนที่ทำงานในบริษัทปูน กับชาวบ้านทั่วไป ลักษณะทางพื้นที่แบบนั้นขนานไปกับการเติบโตของตัวละครแก่งคอยในครอบครัวซึ่งแต่เดิมไม่มีอะไร มีความคิดที่อยากจะตั้งตนได้ จากเสื่อผืนหมอนใบไปจนมีบ้านหลังใหญ่โดยมีพ่อเป็นผู้นำความเจริญรุดหน้าเข้ามาในบ้าน โดยสถาปนาตำแหน่งหัวหน้าครอบครัวขึ้นเหนือแม่ ซึ่งเป็นลูกอีสาน ไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินและมีชีวิตอยู่บังคับให้ต้องรอกินน้ำใต้ศอกจากสามี

การเติบโตของเมืองแก่งคอยไม่ใช่เพื่อเป็นเจ้าของความศิวิไลซ์ แต่มาจากความไม่เต็มใจและการขัดขืน หลายครั้งที่ถนนในตัวอำเภอถูกขยาย ต้นไม้ริมทางถูกโค่นให้มีพื้นที่พอสำหรับการเป็นทางผ่านของถนนหลวงเข้าสู่กรุงเทพ ความศิวิไลซ์ที่แท้จริง การขัดขืนดังกล่าวก็เกิดกับตัวละครแก่งคอยเช่นกัน จากการต้องคอยรับคำสั่งจากพ่อ มีจิตใจที่คดเคี้ยวเพราะการฝืนทำและถูกบังคับให้เติบโตไปในทิศทางที่ไม่ต้องการ การเติบโตของตัวละครแก่งคอยเลยซ้อนทับกับการโตขึ้นของเมืองที่ดูเหมือนจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่เบื้องหลังคือความกังวลของคนในท้องถิ่นที่ถูกรุกล้ำพื้นที่ ความเจริญที่ไม่ได้มีรากฐานมาจากคนในพื้นที่ แต่มาจากนายทุนของบริษัทปูน ไม่ต่างกับชีวิตครอบครัวของแก่งคอยที่มีเพียงผู้เป็นพ่อคอยผลักดันให้ทุกคนทำตามสิ่งที่ตนต้องการ

การปลดปล่อยเพียงอย่างเดียวคือการหนีเข้าไปใน "ป่าหิมพานต์" ที่อยู่ใจกลางของหมู่บ้าน พื้นที่สำหรับการเที่ยวเล่นที่สุดท้ายก็ถูกผู้ใหญ่คนอื่นปิดกั้นและทำลายลง แทนที่แก่งคอยจะได้สำรวจความต้องการภายในและเข้าใจอัตลักษณ์ทางเพศและยอมรับการเป็นตัวเอง แต่กลับถูกตัดตอนโดยผู้เป็นพ่อ ฉากในป่าจึงเป็นฉากที่อุทิศใช้สำหรับการนำเสนอบาดแผลในจิตใจของแก่งคอย ที่แม้จะเป็นพื้นที่ปลดปล่อยแต่ก็ถูกทำให้เหมือนเขาวงกตซึ่งทั้งยอกย้อน ซับซ้อน เพราะมันเป็นไปด้วยความเจ็บปวดที่ตัวละครทิ้งไว้ไม่เข้าไปจัดการสะสาง

สุดท้ายที่ตัวละครแม่เลือกจะทิ้งแก่งคอยไว้เบื้องหลัง ซึ่งชัดเจนว่าคือการหนีจากอำนาจของผู้เป็นพ่อที่โอบล้อมและทำให้ชีวิตของแม่ตกเป็นเบี้ยล่างมาครึ่งค่อนชีวิต แต่นัยยะที่แฝงเร้นกลับหนักหน่วงยิ่งกว่า เพราะที่น่าแปลกใจคือ ตัวละครแก่งคอยยังคงโหยหาอาวรณ์บ้านเดิมที่จากมา ราวกับบ้านและเมืองแก่งคอยยังคงตามหลอกหลอนและทิ้งรอยแผลฝังลึกให้เขา แต่ขณะเดียวกันมันคือสถานที่ที่สะท้อนตัวตนที่ยังสับสน และแหว่งวิ่นครึ่งๆ กลางๆ เหมือนลักษณะของเมือง การตั้งชื่อตัวละครว่าแก่งคอยจึงมีแก่นกลางพูดถึงทั้งความสัมพันธ์ของปัจเจกซ้อนทับกับการเติบโตของเมืองที่นับวันแม้จะดูศิวิไลซ์แต่กลับขูดลากเนื้อหนังและสร้างบาดแผลให้กับคนเป็นที่มีผิวหนังเต็มไปด้วยร่องรอยซึ่งครั้งหนึ่งความเจริญลากผ่านไป
Profile Image for top..
510 reviews116 followers
January 6, 2018
ผมหวนกลับบ้านเกิดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งในระหว่างที่อ่านเล่มนี้ มันคละเคล้าทั้งอารมณ์ถวิลหาภูมิลำเนา ความเยาว์วัย ความเชื่อ ปัญหาครอบครัว จนถึงการตั้งคำถามถึงสังคมแลการเมือง ตลอดสองวันที่อ่าน ก่อนนอนผมต้องเอาเรื่องราวแต่ละจุดมาขบคิดต่อ ขนาดนั้นเชียวล่ะ

การเล่าเรื่องราวตั้งแต่จุดเล็กจุดน้อยเสมือนเป็นบันทึกเรื่องราวที่ละเอียดมากของครอบครัวๆ หนึ่ง ดำเนินไปเรื่อยๆ คอยให้ความสำคัญจนมันกลืนกินบางสิ่งบางอย่าง จนเรารู้สึกท่วมท้นกับการสูญเสียทั้งจากนามธรรมและรูปธรรม ยอมรับว่าจนถึงตอนนี้ยังขนลุกกับความสามารถของผู้เขียนที่ทำให้เรื่องธรรมดาสามัญกลายเป็นเรื่องที่กระทบจิตใจคนอ่านได้ขนาดนี้

อาจเพราะทราบประวัติของผู้เขียนมาเบื้องต้น และอาจเพราะ���คยโดนร้านหนังสือหลุดสปอยอย่างรุนแรง ผมเลยอ่านแบบจับผิดว่าจุดผิดปกติมันจะเกิดขึ้นตรงไหน แต่ทั้งที่อ่านอย่างระมัดระวังและรู้ตัวดีแล้วกลับยังไม่พ้นถูกกระทำ เหมือนมันดึงดูดผมเข้าไปหา เหมือนผมแย้มยิ้มยินดียอมรับมัน ถือเป็นประสบการณ์การอ่านที่ทั้งเจ็บเนื้อเจ็บตัว แต่ไม่รู้สึกเจ็บใจหรือเสียดายเวลาแม้สักนิด
Profile Image for Peter.
45 reviews4 followers
May 1, 2014
Since I'm its English-language translator, maybe I shouldn't be reviewing it. But working on it gave me a lot of insight into late 20th-century (for the Thais, early 26th-century) Thai culture, especially attitudes toward fortune, destiny, luck, and the supernatural. All mixed in with sexuality and politics. You have to persevere to get through it, because it's pretty wordy, but I like the concept, and some of the characters are pretty compelling, once you let yourself get drawn into their story. So if what I'm writing here interests you, I recommend you give it a read.
Profile Image for Wanrada | 丽达.
46 reviews21 followers
April 9, 2022
4 stars - มันจะมีหนังสือบางเล่มแหละที่เรารู้สึกสงสัยว่า ผู้เขียนเอาเรื่องของตัวเองมาเขียนรึเปล่านะ หรือนี่เขียนมาจากเรื่องจริงใช่มั้ย ลับแล แก่งคอยถือเป็นหนึ่งในหนังสือประเภทนั้น สภาพแวดล้อม บรรยายกาศ รวมไปถึงผู้คนถูกบรรยายออกมาได้อย่างสมจริง วัฒนธรรมความเชื่อที่หลอมรวมไปกับเนื้อเรื่องยิ่งทำให้ทุกอย่างมันดูเรียลเข้าไปอีก ผู้เขียนสามารถถ่ายทอดวิถีชีวิตแบบชนบทออกมาได้อย่างลึกซึ้งเลยทีเดียว
Profile Image for Ongorn.
61 reviews29 followers
July 31, 2015
นิยายเรื่องนี้ไม่ใช่โศกนาฏกรรม แต่เราอ่านแล้วน้ำตาซึม
ตั้งแต่เรื่องเดินทางมาถึงไคลแมกซ์ใน 2 ภาคสุดท้าย มันก็ซึมออกมาเรื่อยๆ อย่างไม่มีเหตุผล
ต่อเมื่อปิดหน้าสุดท้ายลงแล้วมาใคร่ครวญ จึงพอจะหาคำตอบให้ตัวเองได้ดังนี้

- ทั้งสถานที่ (แก่งคอย) และเวลา (ราว พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา) เป็นฉากที่เราคุ้นเคย
นึกออกทั้งภาพครั้งมิตรภาพยังเป็นถนนสายเล็กๆ ทั้งภาพต้นไม้ใบเทาจากฝุ่นโรงปูนที่แม่ชี้ชวนให้ดูเมื่อรถแล่นผ่านทับกวาง
ทุกเหตุการณ์ร่วมสมัยที่อุทิศกล่าวไว้ เราจำได้หมด (จะเว้นก็แต่เหตุการณ์ทางการเมือง ที่เรายังเด็กเกินกว่าจะสนใจ)
สรุปสั้นๆ มันเป็นอาการ Nostalgia นั่นเอง

- ชีวิตวัยเด็กของลับแลมีส่วนคล้ายกับชีวิตของเราอยู่หลายสถาน
เราจึงเข้าใจอย่างล้ำลึกว่าทำไมลับแลจึงคิด พูด ทำ เช่นนี้
อ่านแล้วเหมือนเห็นตัวเองในเวอร์ชั่น alternate ending

แต่เพียงความพิศวาสส่วนตัวดังที่กล่าวมาแล้วไม่ใช่เหตุผลที่เราให้ 5 ดาว
ความเลอเลิศของหนังสือเล่มนี้ สำหรับเราคือ มันเป็น "นิยายอาร์ต"
อาร์ตแบบ "หนังอาร์ต" ของ เจ้ย อภิชาติพงศ์ ที่เราไม่เคยดูรู้เรื่องนั่นแหละ
...แต่เราอ่านหนังสืออาร์ตรู้เรื่อง ^_____^

นิยายเรื่องนี้ทั้งอ่านสนุก ลุ้นลืมหายใจในบางช่วง หักมุมแบบหงายหลังตกเก้าอี้
...แต่อาร์ต
อาร์ตตรงที่คุณสามารถตีความแบบไหนก็ได้ ขึ้นกับโลกทรรศน์ของคุณ
อาร์ตตรงบทจะเล่าเรื่องก็เล่าด้วยสำนวนของเด็กอายุ 15
แต่บทจะบรรยายความรู้สึกในจิตใจ ก็กลั่นออกมาอย่างคนที่ครุ่นคิดถึงชีวิตเป็นงานอดิเรก
อาร์ตตรงที่ต้นเรื่อง อ่านแล้วนึกถึงเสียงบรรยายของ "โจ๋ย บางจาก" ในสารคดี "ส่องโลก"
อ่านๆ ไปเสียงนั้นหายไปได้ไงก็ไม่รู้ แปลกดีแท้
Profile Image for Suphanat Rodwanna.
10 reviews8 followers
February 4, 2017
ลับแล แก่งคอยคือหนังสือเล่มหนาที่ฉันพกระหกระเหินแบกไปมาเพื่อคอยเวลาจะจับมันขึ้นมาอ่านตอนที่พอจะเจียดเวลาหยิบมันออกมาอ่านได้ มันทั้งเศร้า ทั้งบันเทิง ทั้งระทมกลมใจ ทั้งวิเวกวังเวง เป็นผัสสะของอารมณ์หวั่นตรึงเหมือนต้องมนต์สะกด เป็นดั่งมื้ออาหารที่ชวนให้กระอักกระอ่วนงงงวยกับความเหนือชั้นของรสชาติจนไม่สามารถคายคำติชมออกมาจากปากที่ไม่เหลือเศษซากอาหาร แต่ยังคงรูปรสและร่องรอยแสบร้อน รสที่เคลื่อนลงสู่ปลายลิ้นเป็นลางว่าการเคี้ยวอาหารชิ้นนั้นดำเนินมาถึงขึ้นการกล้ำจำใจกลืนกิน ช่างขัดใจเหลือหลาย ต้องมาจำใจพราก แต่รู้ทั้งรู้ว่ามันจะขยับทีละน้อยลงสู่เบื้องลึกในร่างกายเรา ถูกย่อยอย่างเยื้องยาก กลายเป็นธุลีธาตุวนเวียนหล่อเลี้ยงร่างกายสักพักโตๆ รอวันที่เจ้านายชีวิตของมันจะฝักใฝ่หารสชาติใดมาชะล้างประสบการณ์ที่อาบชุ้มด้วยความปิติบันเทิงนี้มาเสียจนรู้แล้วรู้รอด
March 5, 2020
“อุดมคติก็แค่เงาที่ไม่สะทกสะท้าน ปิดซ่อนและบิดพลิ้ว และสามานย์ในบางครั้ง…”

ผู้เขียนเล่าเรื่องสามัญธรรมดา ให้ออกมาไม่สามัญธรรมดา
เป็นการดิ้นรนของมนุษย์ ตั้งแต่เกิดจนตาย ภายใต้มายาคติของสังคม ชุมชน ชาติพันธุ์ เรื่องเล่า ความเชื่อ ที่คอยกำหนดกรอบความคิด การตัดสินใจของเรา
ตอนอ่านช่วงแรกๆ ก็ยังไม่เข้าใจว่าผู้เขียนจะพาเราไปไหน แต่พอเข้าภาคสาม ของเรื่องเท่านั้นแหละจร้า วางไม่ลงเลย อ่านจบแล้วรู้สึกเจ็บปวด เหมือนมีริ้วรอยบางๆ กรีดบาดอยู่กลางใจ

แด่ความจริงและความลวง
Profile Image for Jaylevelup.
11 reviews3 followers
April 2, 2018
เพิ่งผิดหวังและให้ 1 ดาวกับซีไรต์รุ่นใหม่ที่แย่มากๆ
อย่างสิงโตนอกคอกไป จึงแวะมาให้ดาวเยอะย้อมใจ
กับงานซีไรต์สมัยที่ยังดีอยู่
Profile Image for TEERAWUT MAHAWAN.
101 reviews23 followers
March 9, 2020
"ผมเห็น...อย่างที่ประติมากรคนหนึ่งจะเห็น ผลงานของเขาในแท่งหินอ่อนก่อนลงมือแกะสลัก"

สกัดความลวงออกไป เหลือไว้เพียงความงาม
Profile Image for Araya Pichitkul.
172 reviews18 followers
December 28, 2017
ตอนแรกที่หยิบหนังสือขึ้นมา ถามตัวเองว่าจะอ่านจบมั้ยเนี่ย หนามาก แถมยังต้องอ่านอย่างระมัดระวังเพราะหนังสือค่อนข้างเก่า บางหน้าพร้อมจะหลุดติดมือออกมา หากเปิดแรงๆ
พอเริ่มอ่าน ปรากฎว่า น่าติดตาม ผู้เขียนเป็นนักเล่าเรื่องที่ดีมาก อยากรู้ว่าความจริงคืออะไร ตอนสุดท้าย ก้อยังงงๆว่า สรุปแล้วความจริงคืออะไรกันแน่
Profile Image for Ing Jeungsmarn.
15 reviews
December 19, 2025
ต้องบอกว่า เราไม่ได้อ่านหนังสือภาษาไทยมานานพอสมควร อาจเพราะที่ผ่านมา เราได้มาเรียนและทำงานที่ต่างประเทศ กระทั่งวันหนึ่ง อะไรบางอย่างดลใจให้คิดถึงความห่างเหินระหว่างเรากับภาษาของบ้านเกิด

“ลับแล, แก่งคอย” โดย อุทิศ เหมะมูล จึงกลายเป็นหนังสือภาษาไทยเล่มแรกของเราในเวลากว่า 7 ปี หากนี่เป็นการ “ต้อนรับ” เรากลับเข้าสู่โลกแห่งนวนิยายไทย ก็ถือเป็นการ “กลับบ้าน” ที่น่าประทับใจมากทีเดียว

จุดเด่นของนวนิยายเรื่องนี้คือวิธีการเล่าเรื่องของอุทิศ ที่มีความเป็น “มายากล” อย่างบอกไม่ถูก ด้วยการพรรณาสถานที่ ตัวละคร เหตุการณ์ อย่างสนอกสนใจในทุกรายละเอียด ฉากและชีวิตในเรื่องราวของลับแล (และ) ของแก่งคอย ปรากฏสีสันและมิติที่เปี่ยมด้วยสีสัน ดึงดูดผู้อ่านให้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวอย่างหนีไม่พ้น และอย่างหลงลืมเส้นแบ่งระวางความจริงและมายา

ความร่วมรู้สึกกับตัวละคร และปรากฏการณ์ของการถูกยึดโยงกับแต่ละจังหวะในเส้นเรื่องที่สลับซับซ้อนนี่เอง ที่ทำให้การหักมุมในท้ายเล่มมีความทรงพลังจนเราเชื่อว่าเป็นใครก็ต้องปากค้างตาตื่น

“ลับแล, แก่งคอย” คว้าไขว่ความสับสนปนเปและความรู้สึก “โมโหโลก” (angsty) ของวัยรุ่น เป็นแกนกลางทางอารมณ์ที่ฝังอยู่ในโครงเรื่องและแวดล้อมที่ถ่ายทอดวิถีชีวิต ความคิด วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ซ่อนเร้นของผู้คนในสังคมไทยจากหลายภูมิภาคและชนชั้น

ต้องขอบคุณพี่ชายที่แนะนำหนังสือเล่มนี้ให้อ่าน และขอใช้บริการตู้หนังสือของเขาต่อไป ซึ่งในตอนนี้เป็นเสมือนห้องสมุดส่วนตัวของเราไปแล้ว

+++

Admittedly it has been a while since I read a Thai book. Maybe it’s because I’ve been away abroad with a mixture of studying and working. Perhaps my mind was more fixated on improving my English skills through consuming English literature.

It occurred to me one day that I haven’t picked up a Thai book in a hot minute! The brotherhood of Kaeng Khoi (Thai transliteration: Lab Lae, Kaeng Khoi) was the first Thai book I have read in around 7-8 years.

All I can say is it’s an excellent reintroduction to Thai literature. The author Uthis’ way of storytelling is magical in some way. His descriptions and attention to detail brings the character and the stories to life. You feel like you’re there experiencing each moment and feeling with the characters. And that’s probably why the twist in this story was so effective and jaw-dropping.

The book perfectly captures the tumultuous and angsty nature of teenagers. Moreover, it gives so much interesting insight into the way of life, mindset, and culture of Thai people from various regions as well as socio-economic or cultural backgrounds.

Huge thank you to my elder brother who recommended me this book! After all his book shelf is my personal library.
Profile Image for กำพล สนธิเณร.
169 reviews4 followers
April 17, 2023
อ่านสนุก เล่าเรื่องมีชั้นเชิง มีกลิ่นอายวิถีชีวิตต่างจังหวัดยุคปี พศ.2500

ด้วยการใช้ถ่อยคำเรียบง่าย และเรื่องราวแสนธรรมดา เหมือนฟังเรื่องเล่าชีวิตอดีตของลุง-ป้าที่เป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงที่ต้องสู้ชีวิตและผ่านจุดเปลี่ยนชีวิตมากมาย ทำให้จิตนาการภาพตามและเกิดความรู้สึกร่วมได้ไม่ยาก ผูกเรื่องผ่านภูมิหลังของตัวละครหลัก ทำให้ผู้อ่านเข้าอกเข้าใจตัวละครแต่ละตัวเป็นอย่างดี ตัวละครทุกตัวมีชีวิตจิตใจสมจริง ตอนจบแอบหักมุมเบาๆ

จุดเด่นคือการเล่าที่ทำให้เห็นภาพชัดเจนเหมือนดูภาพยนต์ที่ใช้ผู้กำกับมือดีในการสร้าง แต่ละฉากเต็มไปด้วยรายละเอียด แต่เล่าได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งเวิ่นเว้อแต่อย่างใด เห็นมโนภาพในยุคของตัวละครชัดเจน โดยมีข้าวของเครื่องใช้ในตอนนั้นอย่าง เหล้าแม่โขง บุหรี่สายฝน ยาสีฟันวิเศษนิยม เป็นตัวเสริมส่ง
Profile Image for lapat s..
11 reviews
November 19, 2022
เป็นหนังสือที่เราใช้เวลาอ่านค่อนข้างนาน แต่เรากล้าพูดเลยว่าถ้าหยิบขึ้นมาอ่านครั้งนึงแล้วก็ยากที่จะวางลง (แต่เราวางบ่อย และไม่หยิบขึ้นมาอ่านเสียที)

ตัวเราเองก็มองว่ามนุษย์เป็นเสมือนโหลที่เกทอบตะว่างเปล่าใบนึง เป็นภาพสะท้อนของครอบครัว สังคม สภาพแวดล้อม บ้างก็ไม่ถูกกลั่นกรอง บ้างก็ถูกกลั่นกรองและดัดแปลงจนกลายมาเป็นตัวเรา โหลแก้วที่ถูกเติมเต็มไว้ของเหลวสีสันต่างๆ จนกลายเป็นสีขุ่นดำ

ลับแล แก่งคอย ถูกเล่าผ่านมุมของของแก่งคอย (ลับแล) เป็นหลัก เราอ่านไปก็ได้แต่ประหลาดใจถึงความคล้ายคลึงกันของครอบครัวนี้ กับครอบครัวที่เราเติมโตมา โดยเฉพาะบทบาทของพ่อและแม่ สภาพแวดล้อมที่เขาเติบโต ลักษณะนิสัยที่ถูกถ่ายทอดมันเหมือนกับมีกระจกมาสะท้อนวัยเด็กเรา 555 แต่ที่ต่างออกไปคือในครั้งนี้ เรากลับมองเขาในอีกมุมนึง (นักอ่าน, บุคคลสาม) จึงทำให้เราเข้าใจอะไรได้มากขึ้น กระจ่างขึ้น อีกทั้งเหมือนมีคนมาเปิดผ้าพันแผลในวัยเด็กของเราอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีแค่รอยแผลเป็นจางๆ
Profile Image for Jiramet Kupairin.
19 reviews
January 2, 2017
ลับแล, แก่งคอย

การดำเนินเรื่องโดยใช้วิธีให้ตัวละครบอกเล่าเรื่องราวของตนเอง ทำให้ลับแล, แก่งคอย เป็นนวนิยายที่น่าสนใจอย่างยิ่งในเชิงรูปแบบการนำเสนอ ผนวกกับถ้อยคำและเรื่องเล่าที่มีรสชาติ สั้น กระชับ ไม่น่าเบื่อ ยิ่งขับเน้นให้เห็นถึงความงดงามและสละสลวยของนวนิยายเรื่องนี้ และการหักมุมในตอนท้าย (ที่นำเสนอความลวง ความตอแหล) ก็ประกอบเข้ากันอย่างลงตัว

เนื้อเรื่องเกี่ยวพันกับชีวิตครอบครัวครอบครัวหนึ่งที่ประสบปัญหาต่าง ๆ นานา ล้มลุกคลุกคลาน รุ่งเรืองบ้าง ตกต่ำบ้างตามวาทกรรม "ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง" และดูเหมือนประเด็นนี้จะแสดงออกให้เห็นเด่นชัดผ่านคำสอนทางพระพุทธศาสนาในตอนท้ายของเรื่อง

ปัญหาเรื่องความเลวร้ายของระบบทุนนิยม ความเห็นแก่ตัว ความเป็นปัจเจก และอะไรต่อมิอะไรที่(เราคิดว่า)เป็นผลพวงของทุนนิยมก็ได้รับการตอกย้ำและผลิตซ้ำผ่านคำบอกเล่าของ "ลับแล" ประกอบกับการผสานความคิดความเชื่อแบบชาวบ้าน ตามแนวคติชนวิทยา ที่เปรียบเสมือนแหล่งพักพิงทางจิตใจของพวกเขา ยิ่งทำให้นวนิยายเรื่องนี้ครบรสและสมบูรณ์แบบมากขึ้น

มันเป็นนวนิยายที่สมกับรางวัลซีไรต์

ป.ล. อาจารย์สุรเดชเป็นกรรมการตัดสินด้วย เก๋ไก๋
Profile Image for Suwitcha Chandhorn.
Author 15 books90 followers
October 13, 2015
ถ้าจะต้องให้ดาวสำหรับเราก็น่าจะเป็นสี่ดาวครึ่ง สำหรับนิยายเรื่องนี้ ความดีงามอยู่ตรงที่ผู้เขียนสามารถปั้นตัวละครออกมาได้มีชีวิตชีวาราวกับเป็นเรื่องจริง อ่านไปแล้วรู้สึกเชื่อได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนจริง ๆ และเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ทั้งตัวละคร การดำเนินเรื่อง และฉากมีความสอดคล้องจนเกือบสมบูรณ์ และมีความเป็นไทยชนบท (ที่ไม่ใช่การขี่ควายวิ่งไล่นางเอกในท้องนา) อยู่สูง พาเราย้อนไปถึงยุคสมัยที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นและทำให้เกิดความรู้สึกคิดถึงวันคืนเก่า ๆ ขึ้นมาได้ บทยังพาเราไปหาบทย่อยผ่านตัวละครประกอบมากหน้าหลายตาที่น่าสนใจและไม่แย่งความเด่นของบทหลักไปจนเกินงาม

ตอนแรกคิดว่าเป็นเรื่องของปีแต่สุดท้ายกลับจบลงด้วยบทสรุปเป็นเรื่องของลับแล เปอร์เซ็นต์และประเด็นการนำเสนอของตัวละครสองตัวนี้ค่อนข้างก้ำกึ่งกันจนเกือบสงสัยว่าใครเป็นตัวเอกที่แท้จริงกันแน่ :)
138 reviews6 followers
October 5, 2017
The eventual ending, along with its psychological insights and ramifications on past events, resonate backwards nicely. But I still can't reconcile that with the book's ungainly structure, which feels so crammed of (possibly autobiographical) details as much as possible, instead of flowing smoothly throughout history. It gains in momentum as it goes along though. By then the accumulated history of shared culture, transgenerational trauma, passed-on toxic masculinity, and familial abuse feel so weighty that it becomes thoroughly propulsive and engrossing, making it end of a memorable and haunting note. But the first half or more feel like some personal callbacks rather than a full story.
Profile Image for Bill.
119 reviews7 followers
December 29, 2016
This is the story of a small-town, working-class Thai family. The mixture of love and conflict within the family, and between the family and neighbors, is in some ways similar to what you might find in a good novel about an American family. People are people. But here the story is in the context of Thai history, politics, economy and religion. The translation is very good. I like to read some literature of a country that I plan to visit. I think this book gave me some insight into at least some aspects of contemporary Thai culture.
Profile Image for David Rubin.
234 reviews3 followers
July 31, 2013
A coming of age novel set in contemporary rural Thailand. A great book to learn about much of the origin of modern Northeastern Thailand and its Lao influence, as well as the clash between old customs and beliefs and the realities of today's world. Mysticism and Buddhism play prominent roles in this novel of family conflict and personal growth.

The English translation is brilliant and goes a great job in communicating a fairly alien culture to the Western reader.
Profile Image for View Janthakan.
58 reviews3 followers
July 22, 2017
เป็นหนังสือเรื่องแรกที่ทำให้เราน้ำตาซึมและมีผลต่อความรู้สึกเรามาก คุณอุทิศบรรยายความรู้สึกและสภาพแวดล้อมรอบๆตัวละครได้ดี ทำให้เรารู้สึกเข้าใจและเรียนรู้ไปพร้อมกับตัวละคร(ซึ่งส่วนตัวชอบฉากที่ลับแลบวชแล้วต้องเดินเท้าเปล่าเข้าหมู่บ้านเพื่อหายา ในตอนนี้ทำให้เราได้เรียนรู้บางอย่างไปพร้อมกับลับแลและเรารู้สึกนิ่งขึ้น) เราชอบที่นำความเชื่อที่เราเห็นในสังคมไทยทุกวัน เพลง และ ประวัติศาสตร์ขณะหนึ่ง มาร้อยเรียงกันได้น่าสนใจและอ่านเพลิน
This entire review has been hidden because of spoilers.
Profile Image for Vince.
9 reviews
December 4, 2024
I firstly took this as an engrossing province family life story within the context of Thai religion, culture, economy, and politics set in 70s-90s. The story and Thai history was riveting enough that it did not prepare me towards the conclusion, which made me flip the pages back to the start.
Profile Image for Andy January.
105 reviews1 follower
August 28, 2024
Uthis Haemamool's The Brotherhood of Kaeng Khoi (TBOKK) seems intimidating at first glance. The English translated version consists of 571 pages whose GSM thickness per page is almost as thick as a Kraft paper and the entire book weighing almost a kilo. The book won a S.E.A Write Award so I thought this must be some serious Thai Lit.

But only after reading a first few sentences, my preconceived notions are all shattered. Each sentence is a mood, a gesture, an emotion, a nuance, blending in harmony that appeals to your imagination. The words are easy on the eyes and the succeeding sentences flow like a gentle stream into your consciousness. I was instantly taken to 70's Thailand where a boy named Lap Lae was sent to a remote temple by his mother. There he undergoes a period of self-reflection and cleansing. But the reason why he sits before the abbot every night is yet to be told, a shocking truth which is only revealed at the very end.

What's wonderful about this book is that there are a lot of aspects that can be interpreted. First, we could interpret TBOKK as a story of every Thai family whose values are shaped by history when Thailand itself at that time was in a process of political change - another topic in itself. But I'd like to take the interpretation that TBOKK is an exploration of a picture of a dysfunctional family. There is this uneasy dynamic between Lap Lae's father, his mother and his older brother, Kaeng Khoi that is typical among Asian family, often dismissed as "normal". Lap Lae's circumstance is not fortunate to begin with - borne to a mother - a replacement wife, who was his father and ex-wife's previous house maid, a second child always trailing behind the shadow of the more loved older brother. How can one be desperate enough to find a place for love and affirmation in the family up to the point where self-destruction could be the only way to achieve this?

But cheer up, this novel isn't all about pain. There are light and tender moments within the family, celebrations, bloopers, petty fights among neighbors and relatives, gossiping and so much more. It feels like watching a telenovela or a thai lakorn where each chapter is a story arc in itself. There are other characters who gave so much life behind the somewhat somber background.

But in all seriousness, I am wondering what TBOKK wants to achieve. A friend of mine said to me that stories need not to have a lesson to convey. They are just told as it is. At the end part, Lap Lae saw a vision and asked the abbot what it meant. The abbot answered it's for him to find out as he moves on with his life. Lap Lae would have to face adulthood with the emotional baggages of his past.
Profile Image for Whale Read.
414 reviews33 followers
August 2, 2019

วรรณกรรม
รางวัลซีไรต์ 2552

ชื่อเรื่องเป็นชื่อตัวละครสองพี่น้อง ลับแล และแก่งคอย
เป็นการเล่าเรื่องเว้าแหว่ง ผ่านความทรงจำที่ถูกบิดเบั้ยว ของลับแล โดย มีความเชื่อเรื่องผี วิญญาณมาเกี่ยวข้อง
ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วเกิดจากความต้องการปกป้องจิตใจตนเอง ไม่ให้ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ *โดยไม่จำเป็นต้องจับมือถือแขน แต่ในลักษณะของไหล่เคียงไหล่ และกลิ่นเรือนผมหอมสะอาดของเธอ ก้ทำให้ชายหนุ่มรุสึกถึงความหวามไหว และสัมผัสได้ถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างแท้จริง

การมีเมียเด็กกว่า ถือเป็นค่านิยม ที่มาพร้อมเหตุผล เพราะเนื่องจาก ผช เมื่ออายุมากมักจะมีการงานมั่นคง มีวุฒิภาวะ ฝ่ายหญิงก้จะดีใจเพราะได้รับความไว้วางใจจากญาติๆ และรุสึกได้รับการดูแล ปกป้อง ประกอบกับ ด้วยวัยสาวของ ผญ ทำให้สามารถดูแลงานบ้านงานเรือนได้เป็นอย่างดี

เมื่อเห็นพี่ชายของผมร้องไห้หนัก ตัวผมที่ยังไม่รุอะไรเป็นอะไร ก้จับเอาพี่ชายเป็นเครื่องวัดความอันตราย แล้วจึงเริ่มร้องไห้ตาม

นิยายที่ใช้การเล่าย้อนอดีตเต็มๆเกือบครึ่งเล่มม !!? ฝึกสมาธิ เพื่อที่จะรับรู้สัมผัสทั้ง 5 ได้อย่างสนิทใจ

เปรียบเสมือนเราเดินอยุ่บนขอบตลิ่ง ปรารถนาจะไปให้ถึงฝั่งตรงข้าม ที่มีน้ำสายเล็กๆพาดอยุ่ แต่เมื่อลงไปแล้วกลับพบว่า สายน้ำนั้นทั้งลึก เชี่ยว และ กว้าง เราพยายามเอาชีวิตรอดกลางสายน้ำนั้น ย้อนกลับมาที่เดิม และไม่ปรารถนาจะไปตลิ่งนั้นอีกต่อไป

ตำแหน่งเดิม.แต่มุมมองต่างกันลิบลับ

การเดินทางแสนไกล บางทีอาจเป็นไปเพื่อให้รู้ว่าตำแหน่งเดิมมันดีแค่ไหน

ความสนุกของเด็กๆคือความสนุกที่ปราศจากกรอบ หันหลังให้กับผลที่จะตามมา และ มีอันตรายกำกับอยุ่เสมอ

ผมทิ้งตัวลงบนพื้นรัวแขนขา เข้ากับพื้นดิน เพื่อ ให้ความเจบปวดทางกายใกล้เคียงกับความเจ็บปวดทางใจ

โลกที่เป้าอยุ่ก้เป็นเช่นเดียวกับคนอื่นๆในหมู่บ้าน กลบกลืนโลกเล็กๆของผม จนไม่อยุ่ในความสนใจของใคร
8 reviews
October 18, 2025
ให้ 4.5
สนุกมาก เรื่องราวชีวิตของพ่อแม่ลูกครอบครัวหนึ่ง กับวิถีชีวิตชาวบ้านชนบทสมัยก่อน เนื่องจากตัวละครเกิดไล่เลี่ยกับเรา ยิ่งทำให้ได้อารมณ์ขณะอ่าน เหมือนได้ย้อนยุคไประลึกความทรงจำในวัยเด็ก สำนวนการเล่าเรื่องลื่นไหล อ่านแล้วติดหนึบ มีลูกเล่นในการตัดต่อเรื่องราว ที่ซ่อนงำส่วนสำคัญเอาไว้ หยอดพรายด้วยรายละเอียดที่กระตุ้นความอยากให้ติดตามเป็นระยะๆ จนมาคลายปมในตอนท้ายเรื่องและจบได้อย่างน่าประทับใจกับการตั้งคำถามถึงวิถีทางในการค้นหาตัวตน การประสานคำถามคำตอบ การประนีประนอมระหว่างความจริง ความลวง ทำให้ผู้อ่านอย่างเราได้คิดคำนึงบ้างว่า แท้จริงแล้ว เราคือใคร อดีต รากเหง้า และประสบการณ์ที่หล่อหลอมเรามา ความคิด ความฝัน ความหวัง ความเชื่อ และเป้าหมายที่ไขว่คว้า สิ่งเหล่านั้นมันจีรังจริงแท้สักแค่ไหน


น่าเสียดายที่ความสมบูรณ์แบบของหนังสือดันมาสะดุดที่จู่ๆคนเขียนก็ใส่ตัวละครนึงเข้ามา เพื่อโยงไปเกี่ยวกับเหตุการณ์เดือนตุลาและพฤษภาทมิฬ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องและตัวละครหลักเลย รู้สึกเหมือนยัดเยียดยังไงไม่รู้ ทั้งๆที่เนื้อหาในเรื่องก็สะท้อนภาพสังคมวิถีชีวิตของผู้คนชนบทได้อย่างด���อยู่แล้ว
Profile Image for Christine Hall.
568 reviews29 followers
Want to read
December 6, 2025
The Brotherhood of Kaeng Khoi is the first novel in Uthis Haemamool's Kaeng Khoi Trilogy.

Kaeng Khoi Trilogy #1
Thai: ลับแล, แก่งคอย (Lablae, Kaeng Khoi, 2009)
English: The Brotherhood of Kaeng Khoi (2012)
Awards: S.E.A. Write Award (2009)

Kaeng Khoi Trilogy #2
Thai: ลักษณ์อาลัย (Lak Alai, 2012)*
English: The Elegy (no English translation)

Kaeng Khoi Trilogy #3
Thai: จุติ (Juti, 2015)
English: The Fabulist (2023)
Awards: S.E.A. Write Award Nominee (2015)

*You’ll sometimes see บทเพลงโศก (Bot Phleng Sok) mentioned as the second novel in the trilogy, but there is no bibliographic record of such a title by Uthis Haemamool. See Goodreads series page: https://www.goodreads.com/series/148544
Profile Image for Dith.
1 review12 followers
December 25, 2016
เป็นนิยายที่อ่านสนุกจนวางไม่ลง อินไปกับทุกตัวละคร ผู้เขียนผูกเรื่องได้น่าติดตามทุกบท ฉากบรรยายสภาพแวดล้อมของผืนป่า และภูมิประเทศก็ทำได้อย่างลื่นไหล น่าติดตาม เป็นนวนิยายที่ไม่ควรอ่านก่อนนอนเพราะอาจทำให้หลับไม่ลง นี่ยังไม่นับไคลแมกของเรื่องที่เล่นเอาจุกเหมือนโดนต่อย นวนิยายเรื่องนี้ทำได้ดีในทุกๆด้านและส่งผลต่ออารมณ์หลังอ่านจบอย่างยิ่ง ไม่ว่าใครก็ไม่ควรพลาด
Profile Image for Natz Patsu.
10 reviews8 followers
August 2, 2017
อ่านแล้ววางไม่ลงจริงๆ วิธีการเขียนที่เกริ่นอยู่ตลอดว่านี่จะเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ทำให้อยากรู้เรื่องราวต่อไปเรื่อยๆ ประทับใจ transition ตอนที่ลับแลหลงป่าแล้วย้อนไปเหตุการณ์ตอนเด็ก เหมือนดูหนังดีๆเรื่องหนึ่งเลย เจ๋งมาก
Profile Image for Ae.
18 reviews11 followers
December 22, 2017
เฮี้ยนหนักมากที่กลางเล่ม
Displaying 1 - 30 of 47 reviews

Can't find what you're looking for?

Get help and learn more about the design.